5/5/58

[OS] ของดูต่างหน้า (ผิงเสีย)




[OS] ของดูต่างหน้า (ผิงเสีย)




By Fenrir






[สปอยล์เล่ม10]













เสี่ยวเกอจากไปแล้ว

ความ จริงตอกย้ำในสมองหลายร้อยหลายพันครั้งจนชาหนึบด้วยความว่างเปล่าจวบจน แบกร่างจากฉางไป๋ซานกลับมายังร้านที่หังโจว ท่ามกลางสายตาสับสนระคนเป็นห่วงของลูกจ้างหกร้อยหยวนที่ถูกทิ้งให้อยู่เฝ้า ร้านมานานร่วมอาทิตย์ อู๋เสียทิ้งสัมภาระลงบนพื้น เอนกายพิงบานประตูห้องที่ปิดสนิท ไม่หลงเหลือความรู้สึกอื่นใดนอกจากหมดเรี่ยวแรงกับความพยายามที่ไร้ผลเมื่อ อยู่ต่อหน้าคนๆหนึ่งที่ห่างออกไปไกลแสนไกล



...อีกสิบปีข้างหน้าหากนายยังจำได้...



“สิบปี? หากฉันยังจำได้? พูดออกมาได้!”

ตึง!

กำ ปั่นหลุ่นๆกระแทกเข้ากับพื้นไม้จนแผ่นกระดานสั่นสะท้าน ใบหน้าเครียดขึงด้วงแรงอารมณ์ไม่ยี่หระต่อความชาที่อาบตั้งแต่ข้อนิ้วทุกข้อ ไล่ขึ้นมาก่อนแปรเปลี่ยนเป็นความเจ็บปวดแสนสาหัสที่แล่นปราดสู่สมอง เหงื่อเม็ดโตผุดพรายบนหน้าผาก

“คิดจะไปก็ไป คิดจะมาก็มา นายแม่งเห็นฉันเป็นอะไรวะเสี่ยวเกอ!”

ตึง! ตึง! ตึง! ตึง!

ชายหนุ่มเกร็งหมัดเปื้อนเลือด ทุบจุดเดิมซ้ำๆราวกับบนกระดานแผ่นนั้นคือใบหน้าของคนใบ้จาง

“ใครมันจะไปลืมเรื่องแบบนี้ได้ลง! ฉันไม่ใช่นายที่เข้าไปในอุกกาบาตนั่นแล้วออกมาเอ๋อจำอะไรไม่ได้นะเฟ้ย!”

ตึง! ตึง! ตึง! ตึง!

“จูบ กับศพ โดนผีแม่ย่าเกาะ เส้นผมพัน วิ่งหนีด้วง ตีกับบ๊ะจ๊าง โดนงูกัด ยิงคนด้วยกันเอง แต่ละเรื่องนี่อยากลืมให้ตายมันก็ลืมไม่ได้!”

ตึง! ตึง! ตึง!

“ยิ่งเป็นเรื่องของนาย”

ตึง!

“...แค่คิดว่าอยากจะลืม ฉันยังไม่เคยเลย”

หยาด เหงื่อล้อมกรอบใบหน้าแดงก่ำด้วยความรู้สึกหลากหลายไหลผ่านแก้มจรดปลายคาง ร่วงหล่นหยดลงเจือจางร่องรอยสีแดงสดส่งกลิ่นคาวเคลือบโลหะอบอวลในอากาศ

“หากนายยังจำได้ หากนายยังจำได้...ฉันต่างหากควรเป็นคนพูดคำนั้น ฉันที่ถูกนายทิ้งไว้ข้างหลังต่างหากที่มีสิทธิ์พูด”

สายฝนหลงฤดูโปรยปรายจากดวงตา แด่ลักขจรผีที่วางอย่างเงียบงันข้างตัวยามฟื้นจากนิทรา กับสัญญาสิบปีที่แสนเลื่อนลอย

คาดเดาไม่ได้ จับไว้ไม่อยู่ เหมือนเมฆหมอก เหมือนภาพลวงตา เอื้อมมือไปก็คว้าได้เพียงเศษซากความผิดหวัง

“ถ้าสิบปีผ่านไป ถึงตอนนั้น...”



...สิ่งที่เชื่อมโยงฉันกับโลกใบนี้ไว้ เท่าที่เจอก็มีแต่นาย...



“นายจะยังจำด้ายบางๆที่เชื่อมนายไว้กับโลกใบนี้ได้อยู่หรือเปล่า”







-







เมื่อลืมตาตื่น ความคิดที่กระเจิดกระเจิงก็ดูจะเข้าร่องเข้ารอยมากขึ้นเล็กน้อย

นาย น้อยสกุลอู๋กระพริบตา คราบน้ำตาแห้งๆที่ติดอยู่ยากจะมองอะไรได้ชัด แต่เมื่อยกมือขึ้นมาจะขยี้ตาก็ต้องร้อง พอเพ่งดูดีๆก็ต้องสยองกับสภาพมือที่ถลอกปอกเปิกยับเยิน บวกกับเลือดและแผลเปิดที่เริ่มแห้งไปแล้วบางส่วน เมื่อขยับมือแผลที่มีเยื่อเกล็ดเลือดบางปากๆปกคลุมก็ปริออกทำให้เลือดไหลซึม อีกครั้ง ทั้งแสบทั้งฝืดเหมือนฟันเฟืองสนิมเกาะ แต่ความคิดที่จะเรียกให้ลูกน้องจอมอู้ตัวดีขึ้นมาช่วยทำแผลให้ก็เป็นอันปัด ทิ้งไปเพราะท้องฟ้านอกหน้าต่างได้กลายเป็นสีดำไปแล้ว ป่านนี้เจ้าตัวคงปิดร้านแล้วเที่ยวออกไปไหนต่อไหนตามใจเหมือนเคย

“ทำ ตัวเองแท้ๆ” พึมพัมด้วยเสียงที่พอจะหลงเหลือในลำคอที่แห้งผาก เดินผ่านกระจกแล้วรู้สึกอนาถกับสภาพตัวเองไม่น้อย ตั้งแต่กลับมาถึงบ้านก็ยังไม่ได้อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า ชุดที่ใส่อยู่ก็ไม่พ้นชุดเดิมกับที่ขึ้นเขาลงเขาจากฉางไป๋ซานนั่น กลิ่นเหงื่อบวกกับกลิ่นเลือดอ่อนๆทำให้รู้สึกคลื่นเหียนวิงเวียนแปลกๆ

ทำแผลแล้วผ่านน้ำสักหน่อยท่าจะดี...

สอง ขาพาอู๋เสียมาอยู่ตรงหน้าลิ้นชักข้างเตียง เปิดชั้นบนสุดแล้วคุ้ยๆหากล่องปฐมพยาบาล คิ้วเริ่มขมวดเป็นปมเมื่อเปิดลิ้นชักทุกชั้นแล้วก็ยังไม่พบสิ่งที่ต้องการ

ครั้ง สุดท้ายที่ใช้นี่เขาเอาไปเก็บไว้ไหนกัน? ชายหนุ่มเดินรอบห้อง สอดส่ายสายตาพลางยื่นมือซ้ายที่ใช้การได้ปกติเปิดลิ้นชักและฝาตู้ในห้องตัว เองไปทั่วจนมาถึงตู้เสื้อผ้า

เขาชะงักเมื่อพบสิ่งๆหนึ่งวางอยู่ด้านในสุดของลิ้นชักชั้นล่าง มือซ้ายสั่นระริกขณะเอื้อมไปคว้ามันขึ้นมาในระดับสายตา

วินาที นั้นในวันเดียวกันนั่นเอง ท่ามกลางความเงียบงันยามค่ำคืนในห้องเล็กๆกลางหังโจว อู๋เสียร้องไห้เป็นครั้งที่สอง จนไม่เหลืออะไรในดวงตาอีก







-







ลม หนาวพัดผ่าน ใบไม้เปลี่ยนสีลู่ไหว มองผ่านหน้าต่างชั้นสองออกไปเห็นทะเลสาบซีหู ดวงอาทิตย์คล้อยต่ำขนานกับทิวเขาทอแสงสุดท้าย เคลือบผืนน้ำให้เป็นสีสว่างอร่ามดังทองคำเปลว

ทิวทัศน์อันงดงาม ไร้ความวุ่นวายใดๆ ทว่าบรรยากาศการดื่มชาชมวิวกลับชวนอึดอัดกระอักกระอวนอย่างประหลาด

“อู๋เสีย ฉันว่านายเลิกทำแบบนี้ดีกว่า”

ถ้วย ชาลายครามสีอ่อนถูกวางลงบนโต๊ะกลมหินอ่อน ผู้ถูกพาดพิงเบือนหน้าจากธรรมชาติภายนอกมาสบตากับคนสองคนที่นั่งร่วมโต๊ะ หนึ่งคือเพื่อนสมัยเด็กที่ให้ความช่วยเหลือมามากมายทั้งที่ปากบอกปฏิเสธ และอีกหนึ่งคือสหายที่ร่วมเป็นร่วมตายกันหลายครั้งหลายหนตั้งแต่ลงสุสาน ครั้งแรก

เป็นเวลาเนิ่นนานมาแล้วที่เทียนเจินอู๋เสียคนนั้นเผชิญกับ อันตรายด้วยความไร้เดียงสาและไล่ตามหาความจริงอย่างดื้อรั้นไร้จุดจบ สุดท้ายความโง่งมนั้นก็เปลี่ยนชีวิตเขา ฆ่าแววตาที่ไร้เดียงสานั้นทิ้งแล้วกลับกลายเป็นแววตาอ่านยากมากเล่ห์เหลี่ยม ของเถ้าแก่อู๋ผู้ทรงอิทธิพลมาแทนที่

“เรื่องนี้ฉันเห็นด้วยกับคุณชาย นะ ต่อให้นายจะเจ็บปวดขนาดไหนก็ไม่ต้องทำถึงขนาดนี้ก็ได้” คนร่างท้วมอุดมสมบูรณ์เกาหัวด้วยสีหน้าท่าทางลำบากใจไม่น้อย “เสี่ยว่ามันออกจะมากเกินไปหน่อยนา”

ดวงตาที่ครั้งหนึ่งเคยใสกระจ่างเหมือนผิวน้ำมองผ่านไหล่ของเซี่ยอวี้ฮัวไป

“นายไม่ใช่ฉัน นายไม่เข้าใจหรอก...”

ร่องรอยกากบาทสีแดงเข้มเกลื่อนบนปฏิทินแขวนเคียงข้างกรอบรูปบนหิ้งติดผนังอีกฝากหนึ่งของห้อง

“นี่เป็นของแทนตัวชิ้นเดียวที่มีในบ้านหลังนี้ ใครจะรู้ ถ้าฉันไม่ทำแบบนี้ บางทีคนที่เสียสติไปตั้งแต่ตอนนั้นอาจจะเป็นฉันก็ได้”

ตา จ้องตากันเหมือนทำสงครามอยู่นานร่วมนาที ในที่สุดคุณชายเซี่ยก็ถอนหายใจ ชักสีหน้าเหมือนเหนื่อยหน่ายกับการต้องพูดเรื่องเดิมซ้ำแล้วซ้ำเล่า “เอาทีนายสบายใจเถอะอู๋เสีย ฉันจะไม่ยุ่งกับเรื่องนี้อีก”

ตัวนาง ชื่อลือลั่นในวงการอุปรากรลุกขึ้น บอดี้การ์ดสองคนที่ยืนเฝ้าหน้าประตูอยู่ห่างๆเพื่อความเป็นส่วนตัวของผู้ เป็นนายขยับเข้ามาใกล้อย่างรู้งาน “ไว้ฉันจะมาหานายใหม่แล้วเราค่อยคุยกันว่าจะเอายังไงต่อ เฉพาะเรื่องไปฉางไป๋ซานน่ะนะ”

ทิ้งท้ายให้คนที่นั่งอยู่หรี่ตาลง พยักหน้าให้ ก่อนละสายตากลับมายังจุดๆเดิมก่อนหน้าที่มองผ่านเสี่ยวฮัวไป เขายังจำได้ถึงสายตาที่หนึ่งในลูกน้องของเสี่ยวฮัวใช้มองเขาสลับกับสิ่งที่ อยู่ในกรอบตรงนั้นเมื่อเดือนหลายเดือนก่อนได้ วันนี้แววตานั้นก็ยังหลงเหลืออยู่บ้างแม้จะผิวเผิน

...จะคิดอะไรก็คิดไป เก่งกล้ามาจากไหนก็ไม่มีทางห้ามความคิดคนได้อยู่แล้ว มุ่งมั่นไปที่เป้าหมายต่างหากคือสิ่งสำคัญที่สุด...

สายลมอ่อนจากภายนอกพัดสะบัดขอบกระดาษโบกเป็นจังหวะราวตุ่มนาฬิกาโบราณขยับบอกเวลา

“เทียนเจินหนอเทียนเจิน นายนี่มันบ้า” เพื่อนหนึ่งเดียวที่เหลือร่วมโต๊ะมองตามแล้วโคลงหัว “บ้ามหาเทพแท้ๆ”







-







“ออกเดินทางได้ ฤดูร้อนนี้ พวกเราไปที่ที่เย็นสบายกว่าที่นี่กัน”

สิ้นเสียงที่เอ่ยผ่านวิทยุสื่อสารและเสียงแตรรถกระหึ่มดังกลองรบลั่นยามออกศึก ขบวนรถเริ่มเคลื่อนตัวไปข้างหน้าตามบัญชา

ดวง ตะวันแผดแสงเจิดจ้ากลางฟ้าไร้เมฆ กลางหุบเขาร้างไร้ชุมชนและผู้คน อุณหภูมิที่เริ่มสูงขึ้นทำให้คนอ่อนเพลียได้ง่าย เถ้าแก่สามแห่งบ้านสกุลอู๋นั่งอยู่เบาะหลังในรถจิ๊ป มองรอบตัวพลางคิดหลายสิ่งอย่างไปเรื่อยกระทั่งเปลือกตาเริ่มหนักอึ้ง

สุด ท้ายทนอยู่ได้อีกไม่กี่ชั่วโมงให้หลังก็ฟุบหลับไปด้วยความเหนื่อยล้าสะสมที่ ต้องกำกับงานเองอย่างเข้มงวดติดต่อกันภายในไม่กี่อาทิตย์ที่ผ่านมา...

ครั้น ค่ำ อู๋เสียขยับตัว สิ่งแรกที่รู้สึกผ่านประสาทการรับรู้ทั้งห้าภายหลังได้สติเล็กน้อยคือความ สั่นสะเทือนที่หายไป คาดว่านี่คงเป็นเวลาที่ขบวนรถแวะพักกลางทางตามที่วางแผนกันไว้ เปลวไฟวูบไหวหลายจุดที่พอมองเห็นได้กระจัดกระจายตามจุดต่างๆ คละกับเสียงพูดคุยที่พอเล็ดลอดมาให้ได้ยินไม่บ่งบอกถึงปัญหาขัดข้องใดๆซึ่ง นับว่าเป็นเรื่องดี ถ้าไม่ใช่เพราะว่ามีเสียงบางอย่างที่ลอยเข้าหูมาด้วย

“.............แบบ........เอาจริง...”

เถ้าแก่สามขมวดคิ้วเข้าหากัน รู้สึกคุ้นเคยกับเสียงกระซิบกระซาบนี่อย่างประหลาด

เขา แยกแยะเสียงพูดคุยปกติจากที่ไกลๆกับเสียงที่จงใจพูดเบาเป็นพิเศษเวลาพูด เรื่องอะไรก็ตามที่เป็นความลับได้ การมีความลับหรือมีอะไรที่เกิดขึ้นลับหลังเถ้าแก่อู๋ไม่ใช่เรื่องที่ควร ละเลยนักเพราะแผนที่วางมาอาจเสียหายได้ไม่มากก็น้อย ผู้บัญชาการขบวนเดินทางจึงขยับตัวเข้าไปใกล้หน้าต่างรถแล้วเงี่ยหูฟังให้ชัด ต้นตอของเสียงมาจากแถวด้านหลังรถจิ๊ปนี่เอง

“เทียนเจินแม่งพกมาด้วย เชื่อเลย”

มีคนๆเดียวเท่านั้นที่เรียกเขาว่าเทียนเจินอู๋เสีย

นายอ้วน?

“ตกลงตามนี้นะคุณชาย”

ต่อจากนั้นก็ไม่มีบทสนทนาอะไรเพิ่มเติมอีก มีแต่เสียงฝีเท้าย่ำลงบนยอดหญ้าและดินทรายห่างออกไปเรื่อยๆ

หมอนั่นคุยอะไรกับเสี่ยวฮัว? เขาได้แต่หวังว่าจะไม่มีเรื่องยุ่งๆเกิดขึ้นอย่างน้อยก่อนการผจญภัยเสี่ยงชีวิตที่แท้จริงจะเริ่มต้นขึ้น

สิบปีแล้ว…

อู๋ เสียถอนหายใจยาว ล้วงบุหรี่ออกมาจากกระเป๋าเสื้อแล้วจุดไฟ ควันอ่อนๆส่งกลิ่นตลบอันเป็นเอกลักษณ์เกาะแน่นตามเนื้อตัวและเสื้อผ้าของผู้ สูบราวกับเงาตามตัว

ได้เวลาที่นายจะต้อง ‘กลับบ้าน’ เสียที...

เอน กายลงพิงกระเป๋าใบหนึ่งที่เดิมวางคั้นไว้ตรงกลางเบาะระหว่างตัวเองกับสหาย ร่างอ้วน ริมฝีปากยักยิ้มเบาบาง นอกจากบุหรี่แล้วก็มีสิ่งๆนี้นี่แหละที่ช่วยให้ใจของเขาสงบนิ่ง เสมือนทุกอย่างที่เกิดขึ้นเป็นเพียงฝันร้ายชั่วข้ามคืน

ปากคาบบุหรี่ไว้ขณะที่สองมือรูดซิปจนสุด แง้มกระเป๋าออกกว้าง มีลักขจรผีไว้ใช้เปิดประตูอยู่ในนั้น รวมถึง-

อู๋เสียนิ่งงัน ดวงตาเบิกกว้าง

สองมือล้วงปัดป่ายภายในกระเป๋า คว้าได้เพียงความว่างเปล่า

แล้ว เสียงผสุรวาทราวฟ้าผ่าของเถ้าแก่สามแห่งบ้านสกุลอู๋ก็ลั่นไปทั่วทั้งหุบเขา เชือดเฉือนทุกสรรพเสียงของผู้ร่วมขบวนให้พร้อมใจกันเงียบกริบเฉียบพลัน






“นายอ้วน กางเกงในลูกเจี๊ยบของเสี่ยวเกอแม่งหายไปไหนวะ!”














---------------------------------------


Talk


เราไม่รู้ เราเมา--- //โดนปาข้าวของใส่

ช่วง นี้ท่องทวิตเท่าไหร่ก็ยังกาวไม่ค่อยออกเลยต้องมาผสมกาวเอง ความจริงจะตัดจบให้มันสมบูรณ์ตั้งแต่ตอนนายน้อยพร่ำพรรณาตอนต้นแล้วนะ แต่ด้วยความทีไอเดียแรกกับใจความสำคัญที่อยากใส่มากๆชนิดว่า 'กุเอามันออกจากหัวไม่ได้ ช่วยด้วยยย!!!' มันอยู่ที่ประโยคสุดท้ายของเรื่องก็เลยเขียนต่อแบบAwkwardหน่อยๆ 'w'

เชิญคอมเม้-------แง!!! อย่าปาขวดใส่เรา!!!! //หลบวืด

[OS] ไม่มีครั้งที่สอง (ผิงเสีย)





[OS] ไม่มีครั้งที่สอง (ผิงเสีย)





By Fenrir















เมื่อได้ข่าวว่าห้างเล็กๆใกล้บ้านในหังโจวกำลังจัดSaleกระหน่ำก่อนปิดกิจการ ผมก็เลยถือโอกาสนี้ลากเสี่ยวเกอออกไปช้อปปิ้งด้วยกันซะเลย

ไอ้ ผมน่ะก็ไม่ได้อะไรหรอก แต่แค่เห็นว่าเสื้อผ้าของคนๆนี้น่ะมีน้อยจนใช้มือเดียวนับได้ แถมแบบก็เหมือนๆกันไปซะหมดเหมือนกับไปซื้อยกแพ๊คมา! ความจริงเสี่ยวเกอก็อาจไม่ได้สนเรื่องอะไรแบบนี้อยู่แล้ว มีอะไรใส่ได้ก็ใส่ไป ใส่แล้วก็ซักๆเวียนๆไป พอนานวันเข้ามันก็เก่า สีก็ซีด ถ้าไม่ขาดคนนี้ก็ถือว่ามันยังใช้ได้อยู่ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องแฟชั่นหรือเอาความดูดีเข้าว่า

เอาวะ ไหนๆก็เลี้ยงเพื่อนมาซะขนาดนี้ มีข้าวมีน้ำให้กิน มีบ้านให้นอนสบาย จะมางกไม่เข้าเรื่องกับเสื้อผ้าก็ยังไงอยู่ ผมก็เลยเดินไปหาเจ้าตัวที่นั่งเหม่อมองนอกหน้าต่างที่ทำเลเดิม พูดกับเขาว่า”เสี่ยวเกอ ไปซื้อของกัน”แล้วก็จับมือลากเขาออกมาจากร้านเลย ถ้านายไม่ว่าอะไรฉันถือว่านายโอเค! (ลองเขาดื้อแพ่งกับผมสิ...ต่อให้อ้อนวอนหรือฉุดกระชากลากถูให้ตายเขาก็ไม่ ลุกหรอก)

เมินโหยวผิงไม่ได้พูดอะไรเลย เขาได้แต่เดินตามหลังผมอยู่ใกล้ๆ ผมพาเขาเข้าห้างตรงมายังแผนกเสื้อผ้า ป้ายSaleมหึมาสีแดงเด่นหราด้วยตัวเลข80%ดึงดูดทั้งสาวเล็กสาวใหญ่มากหน้า หลายตาให้เข้ามาทั้งคุ้ยทั้งรุมทึ้งกองเสื้อผ้าสูงเป็นหย่อมๆราวกับสงคราม ผมได้แต่เหงื่อตกไม่คิดจะเอาตัวไปเสี่ยงตายในสมรภูมิโดยเด็ดขาด จึงนำเขาไปยังแผนกเสื้อผ้าบุรุษที่ติดป้ายSaleอยู่ใกล้ๆ มีทั้งชุดแบบลำลองและชุดแบบทางการกองอยู่รวมๆกัน ผมหยิบๆจับๆเสื้อสองสามตัวขึ้นมาดูแล้วทาบเข้ากับตัวของเมินโหยวผิง

“ถ้านายชอบตัวไหนก็เอาไปลองได้เลยนะ เรื่องเงินไม่ต้องห่วง”

ผม บอกเขา โยนเสื้อตัวแรกทิ้งกลับเข้ากอง แล้วคว้าอีกตัวขึ้นมาทาบกับตัวของเขาแทน มันเป็นเสื้อยืดสีเทาคอวีแขนยาว แค่ทาบก็รู้สึกว่าเสี่ยวเกอแม่งดูดีชะมัด! ตัวนี้ผ่าน! ผมหย่อนเสื้อที่ว่าลงในตะกร้าของผม มาช้อปปิ้งงานนี้ทั้งเขาทั้งผมไม่ได้กลับบ้านไปมือเปล่าแน่ๆ แต่ระหว่างที่ผมกำลังขุดๆคุ้ยๆเสื้อผ้าในกองอยู่นั้น ผมก็รู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่างที่สัมผัสแผ่นหลังของผมอยู่ พอผมเอี้ยวตัวหันไปมองก็พบกับ........สีแดง?

สีแดงกับลายจุดสีเหลือง?

เมิน โหยวผิงยังคงสีหน้าราบเรียบราวกับรูปแกะสลักหินไว้ไม่เปลี่ยนแปลง แม้ว่าสิ่งที่อยู่ในมือจะโครตพ่อโครตแม่แบ๊วขัดกับหน้าตาคนถือโดยสิ้นเชิง! นี่มันเสื้อฮู้ดสตรอว์เบอร์รี่ชัดๆ! แถมยอดฮู้ดยังมีใบไม้สีเขียวอีก! สองมือของเขาจับเสื้อฮู้ดสีแดงสดแต้มลายจุดสีเหลืองประปรายทาบกับหลังของผม ค้างไว้แล้วบอก

“ชอบ”

ยังไม่หายตกใจกับของคิกขุอาโนเนะในมือ ก็ต้องมาช็อคกับรสนิยมของคนตรงหน้าแล้วรู้สึกเหมือนโดนทรยศ ผมกลอกตามองหน้าเสี่ยวเกอสลับกับของในมือ แม่ง ผมคาดไม่ถึงเลยว่าคนใบ้จาง จางฉี่หลิง อาคุน เมินโหยวผิง เสี่ยวเกอ หรือจะเรียกอะไรก็แล้วแต่ กลับมาชอบอะไรที่มันคัลเลอร์ฟูลแบบสาวน้อยนี่!!! นายอ้วนฉันขอโทษ! ฉัมไม่น่าด่านายเลยตอนที่รู้ว่านายซื้อกางเกงในลายลูกเจี๊ยบมาให้เสี่ยวเก อเลยถ้ารู้ว่าเขาชอบแนวนี้ นายแม่งสายตาแหลมคม! ต่อจากนี้นายจะซื้ออะไรมาให้เสี่ยวเกอฉันจะไม่ว่าอีกแล้ว!

น้ำตาที่ หลั่งในใจเพราะอยู่ด้วยกันมานานแต่เพิ่งจะมารู้ความชอบของอีกฝ่ายยังไม่แห้ง ดี ผมถามย้ำอีกครั้งให้มั่นใจ “นายชอบตัวนี้จริงๆน่ะเหรอ?”

เขาพยักหน้า

“จริงนะ?” พยักหน้าซ้ำ .....ตกลงนายชอบอะไรแบบนี้จริงๆสินะ “ถ้านายชอบ ก็ทิ้งใส่ตะกร้านี่เลย”

ผมผละไปดูเสื้อผ้าต่อ จากหางตาก็ยังไม่เห็นวี่แววของสีจี๊ดบาดใจในตะกร้าข้างตัวเสียที

ผมหันไปมอง เมินโหยวผิงยังยืนนิ่ง ไม่ใส่เสื้อตัวนั้นลงมาในตะกร้าเสียที “เสี่ยวเกอ?”

“...”

เขาขยับปากหากผมไม่อาจได้ยิน จึงขยับเข้าไปใกล้ “ว่าอะไรนะ?”



“นาย....ไม่ลอง?”



ผมขมวดคิ้ว “ลอง? อ๋อ ห้องลองอยู่ทางโน้นน่ะ” ผมชี้ไป

เขาส่ายหน้า เฮ้ ถ้านายไม่รีบไป เดี๊ยวสาวๆก็แย่งห้องลองหมดหรอก

เราประสานสายตากันชั่วครู ในที่สุดเขาก็เอ่ยปาก

“นายบอกว่าถ้าชอบตัวไหน ก็ให้ลอง”

ผมยังไม่เข้าใจ “อ่าฮะ แล้ว?”

เมินโหยวผิงส่ายหน้า พ่นลม ไอ้ท่าทางที่ทำเหมือนผมกลายเป็นเด็กที่พูดอะไรด้วยไม่รู้เรื่องนี่มันอะไรกันวะ!

เจ้าตัวทาบเสื้อฮู้ดลงบนหน้าอกของผมอีกครั้ง แล้วยิ้ม

เดี๊ยวก่อนนะ....



“มันเหมาะกับนาย ฉันชอบ” ขยับตัวเข้ามาใกล้จนลมหายใจอุ่นเป่ารดบนแก้มและจมูก ย้ำอีกครั้ง “ชอบมาก”



...รู้สึก เหมือนทุกอย่างในหัวระเบิดบรึ้ม หน้าร้อนผ่าวเหมือนเอาถุงน้ำร้อนมาแนบหน้าทั้งซ้ายขวาจนแทบสุก สติสตางค์กระเจิดกระเจิงเหมือนฝูงด้วงในสุสานแตกฮือ นี่มันกลางห้าง! กลางหังโจวเลยนะเฮ้ย! ผมสาบานได้ว่าหน้าผมตอนนี้ต้องแดงแปร๊ดแซงฮู้ดสตรอวเบอร์รี่ในมือไอ้บ้าเมิน โหยวผิงแน่ๆ อย่าบอกนะว่าที่หมอนี่บอกว่าชอบก็เพราะอยากจะให้ผมใส่!

"นาย ล้อเล่น?" หลุดปากถามโง่ๆออกไปแล้วแทบกลืนน้ำลายไม่ลง เสี่ยวเกอน่ะเหรอล้อเล่นเป็น แถมด้วยแววตาแบบนี้... แต่นี่มันแปลกเกินไปแล้ว!

“เสี่ยวเกอ เรามาที่นี่ก็เพื่อซื้อเสื้อผ้าให้นายนะ ไม่ใช่ให้ฉัน ถ้านายชอบตัวไหนนายก็ลองเอง ใส่เอง” ผมกล่อม

“ฉัน รู้ แต่นี่เหมาะกับนายมาก” เวรล่ะ คนดื้อนี่แม่งดื้อจริงๆ ผมจะไม่อธิบายให้หมอนี่ฟังหรอกนะว่าเสื้อฮู้ดสุดน่ารักในมือเขามันไม่ใช่ ปัญหา

“ฉันไม่ใส่ นายชอบก็ใส่เองสิเสี่ยวเกอ”

“แต่มันเหมาะกับนายมากกว่า”

ปัญหาน่ะมันอยู่ที่ไอ้คนดื้อเงียบข้างหน้านี่แหละ!

“ฉันไม่เอา” ผมมองสีแดงแปร๊ดแล้วขนลุกทั้งตัวด้วยเหตุผลบางอย่าง

“ฉันจะเอา” มีเถียง! จู่ๆก็หายใบ้เอาง่ายๆเลยเรอะ!

“ถ้าอยากได้ก็ควักเงินซื้อเองสิ!”

“นายบอกว่าเรื่องเงินไม่ต้องห่วง” โอ๊ย! ทีแบบนี้พ่อคุณดันงกแถมจำได้แม่นอีก นายเอาสมองไปจำเรื่องที่ควรจะจำดีกว่าไหม?

“งั้น ฉันไม่ซื้อให้!” ปกติเสี่ยวเกอไม่ได้พกเงินติดตัวเอาไว้ถ้าไม่มีเหตุต้องใช้ แล้วนี่ผมถือวิสาสะลากเขาออกมากะทันหันก็คงไม่มีเวลาหยิบเงินออกมาด้วย

โดน ไม้นี้ไป เขานิ่งเงียบเหมือนไม่รู้จะทำอย่างไรต่อ เขาไม่ใช่คนพูดเรื่อยเปื่อยผมรู้ การที่เขาย้ำจริงๆจังๆขนาดนี้ต้องนับว่าเป็นพัฒนาการอีกขั้นของมนุษย์ที่คิด ว่าตัวเองตัดขาดจากโลกไปแล้วว่าอย่างน้อยเขาก็มีเรื่องอื่นให้คิดให้สนใจ แต่ทำไมต้องเป็นเรื่องนี้วะเสี่ยวเกอ?


“....นายอยากให้ฉันใส่ไอ้นี่จริงๆเหรอ?”

พยักหน้า

“นายชอบชุดนี้เพราะมันเหมาะกับฉันเนี่ยนะ?”

พยักหน้าซ้ำ หนอย ทีแบบนี้ล่ะพยักหน้ารับอย่างเดียว

“เสียใจ ด้วยนะเสี่ยวเกอ ฉันไม่ซื้อเสื้อผ้าที่ฉันไม่ได้ลองในร้านหรอกนะ” ผมยื่นประกาศิต ชักแม่น้ำมาทุกสายเท่าที่ทำได้ ความจริงผมมั่วไปทั้งเพ! เรื่องเสื้อผ้านี่ขอแค่ผมชอบและทาบๆดูคิดว่าผมใส่ได้ก็เอา ไม่ได้ต้องวัดตรงนั้นตรงนี้หรือลองอะไรในห้องให้วุ่นวายนักเหมือนเสี่ยวฮัว ที่พิถีพิถันเรื่องการแต่งกาย และเพราะที่นี่เป็นห้างเล็กๆ ห้องลองชุดจึงมีน้อย ประจวบเหมาะกับตอนนี้ที่พวกเรามาช้อปปิ้งในเวลาเดียวกับพวกสาวๆพอดีทำให้พวก หล่อนใช้กันจนเต็มแถมยังยืนออกันรอยื้อแย่งอยู่เป็นพรวน ไม่เหลือวี่แววว่าจะมีโอกาสให้สองบุรุษได้ใช้เลยแม้แต่น้อย แต่ขืนเขาไม่พูดอะไรสักอย่าง ไอ้สัญชาตญาณที่ร้องบอกถึงอันตรายที่จากรอยยิ้มบนใบหน้าหล่อๆเมื่อกี้มัน ต้องมีความหมายอะไรแน่ๆ!!

“อย่างที่ฉันบอกไป ถ้านายชอบตัวไหน นายก็ต้องเป็นคนลองเอง ถ้านายจะซื้อเจ้านี่ฉันไม่ว่า แต่ไม่ใช่ด้วยเงินของนายน้อยสามคนนี้แน่นอน”

เอ้า ลองพ่อพูดขนาดนี้แล้วผมไม่ยอมง่ายๆแน่ บุรุษดาบดำจอมเทพเวลาลงกรวยอย่างจางฉี่หลิงคงจะไม่ได้ติดใจอะไรจริงจังกับ ของอะไรแบบนี้นักหนาหรอก...ใช่ไหม? ถ้าเป็นนายอ้วนหวังค่อยว่าไปอย่าง---



“ถ้างั้น...”





บังเกิด ความเงียบฉับพลันกลางแผนกเสื้อผ้าSale ก่อนเสียงกรี๊ดปรอทแตกจะดังแผดลั่นจนกระดูกโกลนแทบลุกออกมาเต้นนอกหู เมินโหยวผิงกำลังถอดเสื้อฮู้ดของตัวเองออก! ผมตาเบิกกว้าง พูดไม่ออกไปชั่วขณะ จวบจนเสื้อตัวเก่งที่อยู่บนร่างอีกฝ่ายถูกรูดจนพ้นศีรษะ แล้วเจ้าตัวก็สะบัดมันลงไปกองกับพื้นใกล้ๆด้วยท่วงท่าประหนึ่งนายแบบโฆษณา ชุดซัมเมอร์คอเลคชั่นกลางชายหาด! มือที่มีสองนิ้วเรียวยาวเป็นพิเศษจับที่ชายเสื้อกล้ามสีขาวแนบไปกับลำตัว หมายจะดึงรั้งปราการด่านสุดท้ายบนท่อนบนออก

หมับ!

ผมได้สติ แล้วคว้ามือที่ดึงชายเสื้อค้างไว้เหนือขอบกางเกงไม่เท่าไหร่หมับ จ้องตาเขม็ง ให้ตายนี่นายทำบ้าอะไรของนายวะเมินโหยวผิง!!! ผมก้มลงไปหยิบเสื้อฮูดสีน้ำเงินของเขามาสวมให้ ....แล้วนายมาเสือกขี้ร้อนอะไรตอนนี้วะ!! ผมรีบๆดึงเสื้อให้ลงมาปกปิดรอยสักกิเลนที่เริ่มปรากฏจางๆบริเวณต้นคอและบ่า ที่โผล่พ้นขอบเสื้อกล้าม ไม่ซงไม่ซื้อแม่งแล้ววันนี้! เสร็จแล้วจูงเขาออกมานอกแผนกเสื้อผ้าทันที ได้ยินเสียงร้องโอดบ่นเสียดายจากสาวน้อยสาวแก่แม่หม้ายรอบๆแถมพนักงานหญิง ทั้งหลายก็หยิบมือถือขึ้นมาถ่ายตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ ถ่ายหาพ่อง พวกอีห่านี่สมควรโดนไล่ออกให้หมด!




















“เสี่ยวเกอ” ผมกลั้นหายใจ “...นายบอกฉันทีว่านี่มันอะไร”

“ฉันซื้อมาเอง” เออดีๆ เดี๊ยวนี้รู้จักหัดออกไปไหนมาไหนเองเหมือนมนุษย์มนาเขาแล้ว เดี๊ยว นั่นไม่ใช่ประเด็น

ที่ฉันอยากจะถามคือ นายซื้อไอ้ชุดบ้านี่มาทำไม!

ตอน ที่ผมนั่งนั่งหนังสือชิลๆอยู่ในร้าน เสี่ยวเกอก็เดินเข้ามา บอกว่ามีอะไรจะให้ดูในห้อง พอตามขึ้นมาก็เห็นไอ้ชุดสีแดงเจ้าปัญหาวางแผ่หราตัดกับผ้าปูเตียง ผ่านมาตั้งสามวันแล้วนายยังติดใจอะไรนักหนากับไอ้ชุดสตรอว์เบอร์รี่นี่วะ ไอ้หมอนี่แม่งพอผมไม่ซื้อให้ถึงกับยอมแคะกระปุกหมูเอาเงินที่ได้จากลงกรวยไป ซื้อมาเองตัวคนเดียว ความมุ่งมั่นของนายนี่โครตน่าประทับใจเลยถ้าไม่ใช่เรื่องนี้!

ขณะที่ ผมกำลังสบถงึมงัมด้วยถ้อยคำสรรเสริญบรรพบุรุษสกุลจางจนนอนสะดุ้งเฮือกๆในโลง ตราบจนภพหน้า ก็ไม่ทันได้สังเกตว่าอีกฝ่ายเดินไปปิดประตูห้อง กว่าจะหันไปมองก็ตอนที่เมินโหยวผิงล็อคกลอนประตูดังกริ๊ก

“...ล็อคประตูทำไม” ผมก้าวถอยหลัง คนตรงหน้าทำแค่มองผมนิ่งๆ แต่ไอ้รังสีคุกคามที่แผ่ออกมานี่แม่งไม่คิดจะปิดบังเลยสักนิด!

“นายต้องลองชุด”

“ก็แค่ฮู้ด สวมทับธรรมดาๆก็ได้”

“เสื้อมันหนา เดี๊ยวนายจะอึดอัด”

กิเลนที่อกนายนั่นแหละโว้ยที่ทำให้ฉันอึดอัด!

“งะ งั้นนายออกไปก่อน เดี๊ยวฉันจะใส่เอง”

ขยับไปจนสองขาติดผนังห้อง ผมหลบสายตาที่มองมา



“อู๋เสีย”



“อะไร”



ผมก้มหน้ามองพื้น จากมุมนี้ผมเห็นปลายเท้าของเสี่ยวเกอที่ก้าวมาอยู่ตรงหน้าอย่างชัดเจน



“ฉันเป็นคนซื้อ”



มือขวาที่ใช้ปลดกลไกสุสานมานักต่อนัก มือที่ช่วยชีวิตผมมานับครั้งไม่ถ้วน มือที่ทำให้เขาได้ชื่อว่าเป็นเทพผู้ไร้เทียมทานยามบุกสุสาน



เป็นมือข้างเดียวกันที่เริ่มเขี่ยกระดุมจากรังของมัน ทีละเม็ด จากบนลงล่าง








“ก็ต้องเป็นคนสวม”








...ถ้า มีคราวหน้าที่ผมพาเสี่ยวเกอออกมาซื้อเสื้อผ้าอีก ขอสาบานต่อหน้าฟ้าดินเลยว่าผมจะไม่ยอมปล่อยให้เขาเลือกคนเดียวอีกเป็นครั้ง ที่สอง!










------------------------------------------------



Talk



เป็นฟิคที่ร้าวรานใจที่สุดเท่าที่เคยเขียนเลยค่ะ ไม่ใช่เพราะเรื่องแต่เป็นเรื่องทางเทคนิค เพราะบราวเซอร์ดับค่ะ! //ตึง

ปกติ จะพิมพ์สดใส่Twitlongerไว้เลย ปกติเวลาเราปิดมันจะเซฟให้ชั่วคราวใช่มั้ยคะ แต่คราวนี้มันไม่เซฟไว้ให้ค่ะ น้ำตาแทบไหลพรากเพราะเหลือแค่พิมพ์Talkก็จะกดส่งแล้ว กลายเป็นว่าแทนที่ฟิคนี้ควรจะเสร็จตั้งแต่ก่อน1ทุ่ม ก็ดันมาเสร็จเอาหลังเที่ยงคืน ล่วงเข้าเช้าวันใหม่ไปแล้วเรียบร้อย #ร้องไห้หนักมาก

แต่พอมาเขียนครั้งที่สองก็ต้องกู้ความจำออกมาให้ได้ มากที่สุดค่ะ มีหลายท่อนเหมือนกันที่ลืมว่าเราเขียนอะไรไป ใช้สำนวนแบบไหนไป บางอันเลยต้องคิดใหม่ แต่บางจุดก็เติมเพิ่มให้สมบูรณ์ขึ้น กำลังพยายามคิดซะว่าเหมือนได้โอกาสรีไรท์ใหม่(แบบไม่ได้ตั้งใจ) TwT

สำหรับ ที่มาของเรื่องขอยกให้คุณปอยิ้มค่ะที่ทวิตคลิปทำน้องเจี๊ยบใส่ฮู้ดสุดน่ารัก จากผลไม้ มันจะเป็นแค่คลิปทำของน่ารักกุ๊กกิ๊กธรรมดาถ้าไม่ใช่เพราะว่าคุณปอยิ้มพูด ว่ามันเป็นเจี๊ยบเสี่ยวเกอสวมฮู้ดสตรอวเบอร์รี่! ในขณะที่คนอื่นมุ้งมิ้งไป เราก็กาวออก! สารภาพว่าวันนี้ป่วยเลยนอนเผละอยู่บ้าน สุดท้ายกู้พลังชีวิตมานั่งพิมพ์ในคอมเพราะทนไม่ไหวค่ะ (อีนี้บ้ากาว)

[OS] สิ่งที่ทิ้งไว้ (ผิงเสีย)




[OS] สิ่งที่ทิ้งไว้ (ผิงเสีย)







By Fenrir







[สปอยล์เล่ม10]















...แคร่ง...


แว่วเสียงโลหะกระทบบางเบายามขยับแขน

เปลือกตาค่อยๆเลิกขึ้น เบื้องหน้าคือความมืดมิด

ริมฝีปากแห้งแตก ลำคอแสบสากเหมือนผุยผง กระทั่งปลายลิ้นก็แทบไม่อาจกวาดหาน้ำลายมาหล่อเลี้ยง

อึดอัด ทรมาน

ราวกับอยู่กลางทะเลทราย ทั้งที่อยู่ในหังโจว...







จางฉี่หลิงบอกว่าเขาคือคนที่ต้องไปอยู่หลังประตูนั่นตามคำสัญญาของเก้าสกุล

คาดไม่ถึงในคำตอบ ทว่าสิ้นคำ...รู้สึกเพียงโลกเบื้องหน้าวูบดับลงราวสับสวิชต์ไฟ เพื่อตื่นขึ้นมาอีกครั้งแล้วพบกับความว่างเปล่า

จากไปเพราะสัญญาที่ไม่มีใครรักษา

จากไปเพื่อแลกกับชีวิตสิบปีของคนหนึ่งคน

นอกจากลัญขจรผีและคำสัญญาแสนเลื่อนลอย จางฉี่หลิงได้ทิ้งสิ่งๆหนึ่งไว้ให้นายน้อยสกุลอู๋

ความคำนึงต่อคนที่หายไปหลังประตูสำริด...ที่กดทับก้อนเนื้อในอกมาตลอดนับตั้งแต่กลับมาจากฉางไป๋ซาน

ไม่เพียงประตูสำริดปิดตายที่กั้นคนทั้งคู่ไว้ 'สิบปี'เป็นดั่งประกาศิตจากฟ้าที่ไม่มีวันบิดพริ้ว ว่าไม่ว่าจะอย่างไร เขาต้องไป

ไปทำหน้าที่

หน้าที่ของอู๋เสีย



เทียน เจินอู๋เสียที่ได้แต่ก่นด่าและสาปแช่งความไม่ได้เรื่องของตน ทิ้งร่างลงบนเก้าอี้โยกใต้ชายคาร้านอาสามกลางหังโจวด้วยดวงตาหม่นลอยเหมือน คนเป็นไข้ สองขาไร้เรี่ยวแรง ปวกเปียกเหมือนกล้าไม้ไร้เสาค้ำจุน ยามต้องลมแรงก็แทบล้มหักพินาศ

เขามีความมั่นใจในระดับหนึ่งว่าเรื่อง ราวความโกลาหลเปื้อนคาวเลือดและกลิ่นชื้นสาบสางของสุสานที่ประสบมาในปีสองปี นับแต่อาสามพาลงกรวยครั้งแรก มันได้ขัดเกลาจิตของตนให้แกร่งในระดับที่พอจะรับมือเหตุการณ์ไม่คาดฝันไหว

เขาคิดผิดและคิดถูกในเวลาเดียวกัน

เพราะความมั่นใจที่มีเอาไว้ใช้กับภูตผีปีศาจและกับดักในสุสาน

ไม่ใช่มีไว้รับมือกับ'การจากลา'



หัง โจวคือถิ่นอันคุ้นเคย มีผู้คนมากมายหลายร้อยพันชีวิต พวกเขาหายใจและใช้ชีวิต ที่แห่งนี้ไม่ใช่สุสาน เป็นดินแดนแห่งคนเป็น ไม่มีอะไรต้องกลัว แต่อู๋เสียกลับพบว่าความหน่วง ความโหวงกลวงที่สัมผัสได้จากอกซ้าย น่าหวาดหวั่นกว่าวานรสมุทรหรือผีแม่ย่าที่กระโจนเข้าใส่เสียอีก เขานอนไม่หลับมาหลายคืน บ้างเผลอไผลหลับไปก่อนสะดุ้งตื่นมากลางดึก ลงเอยด้วยขอบตาที่หมองคล้ำและก้อนเนื้อใต้ซี่โครงเต้นรัวเร็วราวจังหวะกลอง งิ้วประกอบอุปรากรของเซี่ยอวี้เฉินจวบจนไก่ขันยามรุ่งเช้า

ในที่สุด เมื่อถึงจุดหนึ่งที่เกินรับไหว ทายาทเพียงหนึ่งเดียวแห่งสกุลอู๋สั่งลูกน้องหกร้อยหยวนให้ปิดร้านแม้ดวง ตะวันยังลอยค้างเด่นกลางฟ้า พลันย่างเท้าก้าวเข้าไปในห้องหนึ่งบนชั้นสองด้วยใจเหม่อลอย เดิมทีเป็นห้องเก็บพวกสินค้าเก่าๆที่อาสามเคยใช้เมื่อนานมาแล้ว มันเป็นห้องอับที่ไม่มีใครเปิดใช้ มีหลอดไฟที่เปิดไม่ติดหนึ่งดวง อีกทั้งไร้หน้าต่าง มีเพียงประตูหนึ่งบานเป็นทางเข้าออก แค่เปิดเบาๆฝุ่นก็ฟุ้งกระจาย ราวม่านหมอกมีพิษจางๆในสุสาน...

นาย น้อยสามเพียงแค่ต้องการอยู่ตามลำพัง ไม่อยากให้ใครพบและไม่อยากจะพบใคร ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าใด แต่ความหนักหน่วงที่บีบรัดอยู่ภายในพลันผ่อนคลายและสงบลง ครั้นลุกขึ้นแล้วเดินออกไปจากห้องก็เป็นเวลาเกือบสองทุ่ม

ชายหนุ่ม ไม่เข้าใจในคราแรกว่าเหตุใดการพาตัวเองมาอยู่ในห้องแคบๆมืดๆถึงส่งผลบวกต่อ จิตใจอย่างประหลาด คืนนั้นเขาเข้านอนได้เป็นปกติครั้งแรกในรอบหลายอาทิตย์ ครั้งที่สอง...สาม....สี่จึงตามมา และสิ่งนี้ก็กลายเป็นกิจวัตรลากยาวมาจนผ่านไปร่วมครึ่งทศวรรษ



เวลา ที่หมุนเวียนเปลี่ยนผ่านมาหลายฤดูกาลมีอำนาจเพียงพอให้คนและโลกเปลี่ยน นายน้อยสามไม่ใช่ข้อยกเว้น บัณฑิตหนุ่มผู้ถูกวางไว้ในพื้นที่ขาวสะอาดเช่นเดียวกับบิดาถูกดึงเข้าสู่ สงคราม แรกเริ่มคือความเข็ดหลาบและหวาดกลัว แต่จะเพราะฟ้าดินลิขิตหรือความดื้นรั้นที่แทรกซึมทุกอณูก็แล้วแต่ ผลลัพธ์คือเทียนเจินอู๋เสียคนนั้นกลับกลายเป็นเถ้าแก่อู๋ ไม่ใช่ด้วยบารมีใต้ร่มเงาของอาสามที่เขาเคยยืนเกาะชายเสื้อเบื้องหลังมาโดย ตลอด แต่ด้วยสองมือที่หยาบกร้าน เนื้อตัวที่มอมแมมพร่อยบาดแผลมากมายเกินนับ และหัวใจที่ความด้านชาค่อยๆกัดกิน


...เหมือนก้อนหิน... บอกตัวเอง ราวกับทวนซ้ำๆ ย้ำไม่ให้ลืม ...เหมือนนาย...



ทั้งที่ควรจะไม่เจ็บปวด



ทั้งที่ควรจะทำใจยอมรับและรอคอยต่อไปอย่างใจเย็น




เวลา ที่ชายหนุ่มใช้ในห้องเล็กที่ถูกดัดแปลงให้เป็นห้องมืดโดยสมบูรณ์กลับยาวนาน ขึ้นพอๆกับจำนวนมวนบุหรี่ที่สูบวันต่อวัน และทวีขึ้นเท่าตัวเมื่อก้าวขึ้นสู่ฐานะเถ้าแก่อู๋ เหมือนว่ากิจวัตรดังกล่าวไม่อาจสนองความต้องการใดๆได้อีก เนื้อตัวและหัวยังคงหนักอึ้งเหมือนหุ่นชักถูกตัดเชือก

เขาเคยคิด เป็นไปได้ไหมว่าที่เขากำลังทำอยู่ คือการพยายามแบกรับหน้าที่ของคนๆหนึ่งซึ่งที่เขาควรน้อมรับมันและไม่ควรจะมีใครไปทำแทน?

พอ ถึงตรงนี้อู๋เสียถึงกับส่ายหน้าอย่างอ่อนใจ รู้ดีว่าทั้งหมดที่ทำไปก็ได้แค่'แสร้ง'แบกรับ เขาไม่มีทางล่วงรู้หรอกว่าโลกเบื้องหลังบานประตูลี้ลับนั่นจะนำพาผู้เยี่ยม เยียนไปสู่สิ่งใด คนที่รู้ก็ไม่อยู่ให้ถาม ต่อให้ถามก็อาจป่วยการเหมือนถามทางกับพระพุทธรูปหิน

ไม่รู้อยู่เป็นหรืออยู่ตาย

ไม่ ว่าจะนั่งในความมืดมิดที่ไร้สุ้มเสียงนานเพียงใด นานกระทั่งสรรพเสียงบนโลกที่ได้ยินมีเพียงเสียงยามกลืนน้ำลายหรือหายใจเข้า ออก อู๋เสียไม่มั่นใจเลยว่าสถานการณ์จำลองจากภาพจินตนาการโลกเบื้องหลังประตูที่ ใครคนหนึ่งออกตัวเสียสละแทนเขาจะใกล้เคียงกับความเป็นจริงที่อีกฝ่ายเผชิญ



ใน วันหนึ่งที่นั่งดื่มชา ทอดมองปฏิทินที่มีแต่รอยขีดฆ่าหนาสีแดงเข้ม ตนจึงยอมรับในที่สุดว่าตนไม่อาจกลายเป็นเครื่องจักรหัวใจหินที่เคลื่อนไปตาม เป้าหมายเพียงอย่างเดียว ความคำนึงหานั้นมิได้หายไป แค่เป็นคมหอกที่ฝังคาหัวใจอยู่นมนานจนกลืนเข้ากันเป็นเนื้อเดียว และก้อนเนื้อที่เต้นในอกนี่ก็ไม่ได้กลายเป็นหิน มันจึงทิ้งตะกอนและลิ่มเลือดแห้งกรังจากบาดแผลไว้ให้ดูต่างหน้า ช้ำเลือดช้ำหนองเพียงสะกิดก็รวดร้าว หนำซ้ำลึกลงไปล้วนกลวงโบ๋เหมือนภาชนะก้นรั่ว ถมไปเท่าไหร่ไม่มีวันเต็ม



อย่าง ไรก็ตาม กิจวัตรที่แสนไร้ประโยชน์ต่อร่างกายและจิตใจก็ยังดำเนินต่อไป ตรวนทำจากสแตนเลสคือสิ่งที่เพิ่มเข้ามาในห้องทีหลังเมื่อระลึกถึงความจริง ข้อนี้ ถ้าลำพังการนั่งในห้องไม่เพียงพอให้เขารู้สึกว่าได้อะไร ตรวนนี้จะล่ามไว้ไม่ให้เขาลุกจากไปไหน เขาจะต้องอยู่ในห้องนั้นก็เพราะเขาต้องอยู่ แค่นั้นเอง


นายอ้วน เคยบอกให้หยุด ทั้งด่าทั้งโวยวายใส่เขาเสียยกใหญ่ว่าที่กำลังทำอยู่มันคือการฆ่าตัวตายชัดๆ เสี่ยวเกอคงไม่ได้ไปนั่งเล่นหลังประตูสำริดสิบปีเพื่อให้เขามาทำอะไรแบบนี้



"ฉันไม่ได้ตามหมอนั่นไปถึงฉางไป๋ซานเพื่อให้เขาเข้าไปอยู่หลังประตูนั่นเหมือนกัน"


เถ้าแก่อู๋ขยับปากในที่สุด


"ถ้า เขาเข้าไปในนั้นเพราะเป็นหน้าที่ของตัวเอง เป็นหน้าที่ของสกุลจางที่ต้องเข้าไปเฝ้าไอ้ประตูนรกนั่นทุกๆสิบปี ฉันคงทำอะไรความคิดของเสี่ยวเกอไม่ได้ แต่นี่ คนที่ควรจะอยู่ที่นั่นต้องเป็นฉันไม่ใช่เสี่ยวเกอ แล้วนายจะให้ฉันรู้สึกยังไงกับไอ้ใบ้คนหนึ่งที่วันๆแม่งคิดแต่เรื่องภารกิจ จู่ๆวันนึงดันมาเปลี่ยนเป้าหมาย เข้า ไป เพื่อ ฉัน"


กลิ่นไหม้ของเส้นยาสูบราคาแพงในมือตลบอบอวล เศษเถ้าถ่านร่วงหล่นบนตักราวใบไม้ปลิดขั้วในฤดูใบไม้ผลิ


"เขา มีทางเลือก ฉันเองก็อยู่ตรงนั้น หมอนั่นจะชี้หน้าบอกว่าเฮ้ นายนั่นแหละต้องเข้าไปตามสัญญาเก้าสกุล แล้วลากฉันไปทิ้งไว้หลังประตูนั่นก็ได้"


ดวงตาที่เคยใสกระจ่างยกขึ้นสบอีกฝ่าย


"แต่หมอนั่นไม่ทำ"



นาย อ้วนหวังได้แต่จนคำพูด ถอนหายใจดังเฮือก พึมพัมอะไรสักอย่างที่เจ้าของบ้านไม่ได้ใส่ใจจะฟังในเมื่อมีเอกสารมากมาย ต้องจัดการเบื้องหน้า หากเจ้าตัวก็หมั่นมาเยี่ยมบ้างเป็นครั้งคราว ไม่ลืมทำตัวเป็นแม่ไก่คอยจับตาดูอยู่ห่างๆ บ่นๆจนหน้ายุ่งทุกครั้งเมื่อเห็นรอยแดงเป็นปื้นบริเวณข้อมือทั้งสองข้าง ร้อนจนอู๋เสียต้องหาเสื้อคลุมแขนยาวมาใส่เพื่อปกปิด เพื่อนสมัยเด็กอย่างเจ้าบ้านสกุลเซี่ยก็รับรู้และไม่ได้ชอบใจนัก แต่รู้ว่าต่อให้พูดอย่างไรคนๆนี้ก็ไม่ฟัง

"ถ้าอาเฮียทำแล้วสบายใจฉันก็ไม่ว่า แค่อย่าให้เปิดห้องอีกทีแล้วเจอเป็นศพก็พอ"

คนฟังกลอกตา "พวกนายนี่ เห็นฉันเป็นพวกชอบทำร้ายตัวเองหรือไง ฉันไม่เป็นอะไร"

"นายทำอะไรชอบเข้าเนื้อทุกที หรือไม่ใช่?"

โดนย้อนถามอย่างที่เขารู้ดีแก่ใจว่าแก้ตัวไม่ขึ้น




เพราะคมหอกนี่ หากจะเอาออกได้ มีเพียงหนทางเดียว





และเมื่อเอาออกไป คมของมันก็ยังคงทิ้งบาดแผลไว้ไม่รู้ลืม










'ต่อ ให้ข้างนอกผ่านไปกี่ร้อยกี่พันปี ต่อให้โลกนี้แม่งไม่เหลือใคร ต่อให้ทั้งฉัน นายอ้วน เสี่ยวฮัว ซิ่วซิ่ว ลงโลงกันไปหมดแล้ว นายก็คงจะทำตัวอมพะนำ เป็นนายเรือพ่วงน่าเบื่ออยู่เหมือนเดิม' เขาโคลงหัว '...รึเปล่านะ?'



ตึก...



'อยู่ในนั้นนายสบายดีไหม? ยังจำที่นายพูดไว้ได้รึเปล่า?'



กึก.. กึก.. กึก..



'หากเราพบกันอีกครั้ง'



ก๊อก ก๊อก



'นายจะเป็นหรือตาย'





แกร๊ก....



"ได้เวลาแล้วครับเถ้าแก่"


แสง ขาวจ้าจากไฟนีออนบนทางเดินสาดผ่านบานประตูทึบที่ค่อยๆแง้มก่อนเปิดกว้าง คนกลุ่มเล็กๆก้าวเข้ามายังร่างที่ยังนั่งสงบนิ่ง ท่ามกลางความมืดที่เจือจางด้วยแสงไฟจนสลัว คนหนึ่งปลดตรวนเหล็กที่ข้อมือออก ที่เหลือส่งเสื้อคลุมและขวดน้ำให้ผู้เป็นนายรับไปดื่มดับกระหาย

"คุณชายเซี่ยล่ะ?"

"รออยู่ข้างล่างแล้วครับ ทุกอย่างเรียบร้อยตามที่เถ้าแก่สั่งไว้"

อู๋เสียพยักหน้า รับเสื้อคลุมตัวเก่งมาสวม แขนเสื้อยาวๆทาบทับปกปิดรอยแดงเจือกลิ่นโลหะอ่อนๆสนิท

"อีกไม่นาน อีกแค่ครึ่งหนึ่งเท่านั้น"

พึมพัมด้วยริมฝีปากแห้งแตก รสคาวซึมอบอวลทั่วลำคอ




"ความทรมานนี่ ฉันจะให้นายเป็นคนหยุดมันจางฉี่หลิง"










--------------------------------------------------



Talk




Super Glue ผสมเหงื่อก็กลายมาเป็นแบบนี้แหละค่ะเธอว์....

ฟิค นี้ได้แรงบันดาลใจมาจากฟิคของคุณpokepokeruค่ะ ฟิคที่นายน้อยถูกจับขังในห้องแล้วเพ้อหาสามีว่าคงยกขบวนขันหมากไปหาที่ฉาง ไป๋ซานไม่ได้แล้วนั่นแหละ! อ่านเสร็จนี่พลังกาวอัดเต็มสูบ มโนอีกรูทนึงว่าถ้ากลายเป็นว่านายน้อยเป็นคนจับตัวเองขังไว้ในห้องจะเป็นยัง ไงและทำไปเพราะอะไร วนๆอยู่ในทวิตก็ได้กาวอย่างละกระปุกสองกระปุกมาเทรวมในถังจนระเบิด บรึ้มมมมมมมมมมมมมมมม!!!!!!

เป็นซุปเปอร์กาวยี่ห้ออู๋เสียคนM
ฟืด ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด


ถ้า ฟิค'เรียนรู้'คือความในใจของเสี่ยวเกอที่คิดจะตอบแทนอู๋เสีย นี่คงเป็นภาคกลับของฝ่ายอู๋เสียบ้างค่ะ แต่อารมณ์มันกลับคนละเรื่องเลย เราว่ามันไม่ง่ายเลยนะคะที่คนๆนึงที่เฉยชากับทุกสิ่งในโลกมาตลอดกลับมีความ เปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น ซึ่งเราเองก็ไม่รู้ว่าความเปลี่ยนแปลงนี้มันน่ายินดีหรือเศร้าหรือกันแน่ ถ้าวันหนึ่งสิ่งที่ไร้หัวใจกลับกลายว่ามีขึ้นมา และเราก็ต้องเสียมันไปในท้ายที่สุด

...คิดซะว่าเรื่องนี้คือบท Prequel ของฟิค'เรียนรู้'แล้วกันค่ะ จะได้ไม่รู้สึกฟัคอัพมาก (เอ๊ะ หรือเรารู้สึกเศร้ากับเรื่องนี้คนเดียว??)

อันนี้ใช้เวลาเขียน นานกว่า2ฟิคที่แล้วมากเพราะเขียนกันข้ามคืนเลย เริ่มตอนดึกๆเมื่อวานซึ่งกำลังง่วงๆได้ที่ พอกลับมาเปิดอ่านตอนเช้าก็ได้แต่ร้อง วอท ดา ฟัค ดิท ไอ จัส ไรท์!!! ต้องกลับมารีความคิดที่มึนๆกลับมาอย่างหนักหน่วง = ="

อยากคอมเม้นต์อยากด่าว่าอินี้กาวอัลลัยอ่านไม่รู้เรื่องก็เชิญตามสบายค่ะ เราจะถือพลองไปตักตีหัวท่านที่หน้าปากซอย---

[OS] เรียนรู้ (ผิงเสีย)




[OS] เรียนรู้ (ผิงเสีย)



By Fenrir




[สปอยล์เล่ม10]












แม้ได้อยู่ใกล้ชิดกันมานมนาน คนๆนี้ยังมีอะไรอีกมากมายให้เขาได้ทำความรู้จัก


นิ้วชี้ที่เรียวยาวเป็นพิเศษจรดลงบนหลังคอ วนรอบตำแหน่งหนึ่งซ้ำๆ


"ทำอะไร...?"


คนโดนจิ้มเอ่ยถามแม้ไม่ผินหน้ามาหา น้ำเสียงฟังดูงัวเงีย ท่าทางจะยังไม่ตื่นดี


"นาย"


ยาม ไร้อาภรณ์ปิดบัง หลายๆอย่างที่ไม่เคยได้เห็นในยามปกติก็ได้เห็น จางฉี่หลิงมองหลังคอของคนข้างกายบนฟูกหลังเดียวกัน จุดดำเม็ดเล็กๆนี่เขาไม่เคยเห็นมันมาก่อน


อาจเป็นเพราะฤดูร้อน ของหังโจวปีนี้มุ่งมั่นทำร้ายทำลายทั้งร่างกายทั้งสติสตังค์ที่ต้องตั้งมั่น ปานหินผาของเถ้าแก่อู๋มากเกินไปจนทนไม่ไหว เมื่อวานเจ้าตัวถึงกับตบะแตก สั่งให้ลูกน้องเจ็ดร้อยหยวน(เห็นว่าขึ้นเงินเดือนให้แล้ว ไม่รู้ทำไมคนๆนั้นถึงยังร้องไห้)ไปเหมาไอติมจากร้านสะดวกซื้อมาแช่เต็มตู้ เย็น ส่วนตัวเองก็บอกเขาว่าจะออกไปข้างนอกสักพักทั้งๆที่แดดจ้าจนผิวแทบไหม้


เมื่อดวงตะวันเริ่มคล้อย ฟ้าทอสีส้มและแดดแผดเผาอ่อนกำลัง อู๋เสียก็กลับมา พร้อมกับผมที่สั้นกว่าเดิม


"ไว้ ยาวแล้วมันร้อน ฉันเองก็ยุ่งๆจนไม่ได้ตัดตั้งนาน แบบนี้น่าจะเย็นขึ้นนิดนึงล่ะมั้ง" คนตรงหน้าดูอารมณ์ดีขึ้น ก่อนเดินมาหาเขาที่นั่งข้างหน้าต่าง ลูบเส้นผมสีดำที่เริ่มยาวจนดูทิ่มหูทิ่มตา


"นี่ไม่ร้อนบ้างรึไงเสี่ยวเกอ?"


เหงื่อผุดพรายบนไหปลาร้า เสื้อกล้ามสีขาวเปียกชื้นชวนเหนอะหนะ ใบหน้านิ่งงันปานรูปสลักหิน





...ร้อน...




คือคำตอบที่เขาไม่ได้ตอบออกไป



เฉก เช่นเดียวกับหลายๆเรื่องที่ผ่านมาสำหรับคนใบ้จาง หากไม่ตอบสนองต่อสิ่งต่างๆรอบตัวด้วยความเมินเฉยแสนเย็นชา เขามักใช้การกระทำอันคาดเดายากแทนคำตอบ



หรือบางครั้ง...แค่สายตา






ครั้น ประตูร้านปิดลงและลูกจ้างคนสนิทของอู๋เสียกลับไป ความปรารถนาที่คนสองคนมีตรงกันก็ดำเนินไปตามแต่ที่มันควรจะเป็น เริ่มบรรเลงอย่างเรียบง่ายทว่าแผลงฤทธิ์ดุดันตามเสี้ยววินาทีที่ผันผ่าน


ความ เหนื่อยล้าทำให้อีกฝ่ายหลับลึกไปอย่างง่ายดาย เจ้าสกุลจางผู้แกร่งกล้ายามลงกรวยโอบอ้อมแขนรอบร่างอีกฝ่าย ให้ลมหายใจสม่ำเสมอจากโลกทั้งใบรินรดบนลำตัวกิเลนพาดผ่านบ่า


ถ้า ไม่ใช่เพราะว่าหลับใหลเสียจนคลายอ้อมแขนลงหรืออู๋เสียนอนดิ้นจนพลิกตัวออกไป นอนหันหลังให้ จางฉี่หลิงอาจจะไม่ได้ใช้แสงแดดแรกของวันสำรวจหลังคอของอีกฝ่าย เรือนผมที่ปกติปกปิดไฝเม็ดนั้นคงจะหายไปเมื่อบ่ายวานนี้นี่เอง





"ทำอะไร...?"



"นาย"



ปลายนิ้วเขี่ยจิ้มแน่นิ่งที่ต้นคอ



"มีไฝอยู่ตรงนี้"



บังเกิดความเงียบชั่วครู่ ก่อนอู๋เสียจะยกมือขึ้นลูบๆบริเวณที่นิ้วของเขาเที่ยวไล่วนไปมา "มีตรงนี้ด้วยเหรอเนี่ย"


"นายไม่รู้?"


"อื้ม ไม่เคยมีคนทักฉันมาก่อน คนที่บ้านก็ไม่เห็นพูดเลยสักครั้ง"


ในที่สุดคนผมสั้นก็หันหน้ามา



"ถ้านายไม่บอก ฉันคงไม่รู้"






...'ถ้านายหายไป อย่างน้อยฉันจะรู้'...






ประโยคหนึ่งที่คนๆนี้เคยพูดไว้นานมาแล้วช่างคล้ายคลึงกับคำพูดตอนนี้ สร้างความรู้สึกแปลกประหลาดบางอย่างในใจ


คนๆ นี้คิดว่ารู้เรื่องของเขาดีกว่าใคร ถ้าไม่รู้ก็จะดั้นดนจนดื้อด้านเพื่อให้รู้ ใช้สิบปีที่เขายอมแลกที่เบื้องหลังประตูสำริดนั่นไปกับเรื่องของตัวเขาเสีย เองทั้งที่ไม่เห็นความจำเป็นเลยสักนิด


ทั้งที่แสนรู้แสนพยายาม ขุดคุ้ยซะขนาดนั้น อู๋เสียคงไม่นึกว่าตัวเองจะมีแง่มุมที่เจ้าตัวไม่รู้ว่าตัวเองมีเหมือนกัน แม้จะเป็นเรื่องเล็กๆน้อยๆอย่างพื้นที่เล็กๆหลังต้นคอตัวเอง


เล็กน้อยนักเมื่อเทียบกับตัวตนของเขาที่คนไร้เดียงสาตรงหน้าทุ่มเททุกอย่างและพาเขากลับมายัง'บ้าน'


ชีวิต ของเขาที่เคยตั้งมั่นว่าจะทิ้งโลก ทิ้งทุกอย่าง หายใจเพื่อภารกิจเพียงหนึ่งเดียว กลับมีคนๆหนึ่งยินดีหยิบยื่นโลกให้ทั้งใบ ไม่เพียงเชื่อมสายสัมพันธ์ที่เคยสะบั้นไปแล้วไว้กับโลกนี้อีกครั้ง


แม้ผ่านไป10ปี คนๆนี้ก็ยังกลับมา และสานต่อความสัมพันธ์ของเขากับโลกที่เคยห่างร้างลาไปให้ตึงแน่นดังผ้าไหมทอที่รัดรึง


อีกครั้ง อีกครั้ง และอีกครั้ง





เพื่อตอบแทนคนตรงหน้า




เพื่อค้นหาและเรียนรู้'โลก'ใบนี้ให้มากขึ้นเท่าที่ก้อนหินก้อนหนึ่งจะทำได้




เทียนเจินอู๋เสียได้แต่นอนงุนงงเมื่อถูกแขนแข็งแกร่งดึงเข้ามาสู่อ้อมอกอีกครั้ง อ้าปากเหมือนจะเอ่ยหากสุดท้ายก็เลือกที่จะเงียบ



ริมฝีปากอุ่นจรดลงบนตำแหน่งที่ไฝเม็ดนั้นครอบครอง







หากอู๋เสียใช้เวลากว่าค่อนชีวิตเรียนรู้เพื่อเป็น'โลก'ให้เขา




เขาก็ยินดีที่จะใช้เวลาทั้งชีวิต เพื่อเรียนรู้ เฝ้าดูทุกแง่มุมของโลกใบนี้เช่นกัน











และจะขอจดจำมันไว้ แม้สุดท้ายวันจากลาจะมาถึง














Fin.





-----------------------------------------------------------------



Talk





เมากาวเพราะในทวิตพูดกันเรื่องไฝหลังคอท่านประมุขที่มีคนอุตส่าห์ไปเห็นในรูปถ่ายที่ฮีไปเริงร่าที่พม่าอยู่ค่ะ
//เมาอะไรไม่เมา ดันมาเมาจนคลอดฟิคเพราะไฝนพซซ. ถถถถถถถถถถถถถถถถถถถถถถถถถถถ

เรา พยายามแล้วที่จะเขียนให้มันอ่านรู้เรื่อง แต่ว่านะ......ไม่รู้ว่าถ่ายทอดสิ่งที่คิดไว้ได้ครบมั้ย ไม่ได้เขียนฟิคเองนานแล้ว นี่เป็นเรื่องที่สองของเต้ามู่แถมใช้เวลานานมาก ไม่ตอบไม่ส่องทวิตมาหลายชม.เพราะมาเขียนนี่แหละ....//ปิดหน้าร้องไห้ฮรือออ ออออออออ

เราอยากให้เสี่ยวเกอได้รู้เรื่องของนายน้อยที่ตัวนายน้อยเองไม่รู้บ้างค่ะ คงเป็นความเห็นใจนายน้อยหน่อยๆแหละที่ต้องวิ่งไล่ตามสืบเรื่องของผู้ชายปาก หนักชอบอมพะนำคนนึงที่โผล่ๆแล้วหายอยู่เรื่อย ก็เลยอยากให้เสี่ยวเกอได้เป็นฝ่ายที่"หัดเรียนรู้โลก"บ้างค่ะ แต่อาจสื่อมาไม่ค่อยดีเท่าไหร่ เลยต้องมานั่งเขียนทอล์คตรงนี้ไงเล่า!!!
//หัวโขกพุงนายน้อยเด้งกะเพื่อม

อีก อย่างคือเราอยากให้เสี่ยวเกอได้สัมผัส"ความฟิน"ที่ได้ค้นพบอะไรอย่างที่นาย น้อยรู้สึกด้วยค่ะ (ว่าง่ายๆคือความฟินเวลาเสือกแล้วได้รู้จนได้นั่นเอง lol) เพราะงั้นความรู้สึกประหลาดๆที่เสี่ยวเกอรู้สึกก็คงเป็นแบบนี้เอง เหมือนได้ตอบแทนนายน้อยบ้างประมาณนั้น

จะ ว่าไปตอนเขียนฟิคนี้ก็ใช้คำว่า'โลก'บ่อยเหลือเกิน ติดใจมาจากฟิคก่อนแน่ๆค่ะ 5555 เราว่า'โลก'มันไม่ใช่คำที่จำกัดความแค่ในแง่พื้นที่ที่เราอาศัยอยู่ แต่หมายถึงทุกสิ่งทุกอย่างที่เรารู้สึกผูกพัน เป็นส่วนหนึ่งของมัน เพราะงั้นโลกของจางฉี่หลิงก็คงเป็น'โลกทั้งใบที่มีตัวตนของนายน้อยอัด แน่นอยู่เต็ม'แน่ๆค่ะ
//ตีพุงนายน้อยดังเพี๊ยะๆ

[OS] โลก [ผิงเสีย]




[OS] โลก [ผิงเสีย]



By Fenrir


[สปอยล์เล่ม 10]














บนโลกใบนี้



ที่ไร้ความเชื่อมโยงใดๆ



กาลเวลาอาจไหลผ่านไปนับพันๆปี



เหมือนนทีที่ไม่มีวันย้อนทิศกลับ...



เหมือนชีวิตที่ลาแล้วอาจลับ ไม่หวนมา...









เบื้องหลังบานประตูสำริดโบราณที่ตั้งตระหง่านใต้ภูผา ซ่อนเร้นไว้ซึ่งชายหนุ่มผู้หนึ่ง


เขานั่งเอนกายพิงบานทวารยักษ์ ดวงตาสีดำแลดูเหม่อลอย นิ่งงันเสียจนหากจะมีคนมาพบเข้าคงอุปทานไปได้ง่ายดายว่าอีกฝ่ายสิ้นใจไปแล้ว



เขาเป็นใคร




นัยน์ตา ของเขามิได้จับจ้องสิ่งใด หากใจกลับไม่ค่อยจะอยู่สุขนัก นึกย้อนไปแล้วก็มุ่นคิ้ว งุนงงว่าทำไมเมื่อลืมตาตื่น จึงพบว่าตัวเองนั่งอยู่ท่ามกลางความเงียบงันอันว่างเปล่า



'แล้วนี่คือ.....อะไร?'



แรก ลืมตายังพบว่าอ้อมแขนตนตระคองกอดห่อผ้ายาวนั่นไว้ไม่ห่าง สีขาวของผ้าผืนนั้นขมุกขมัวด้วยฝุ่นและเศษหินดินทรายจนย้อมกลายเป็นสีเทา มอมๆ


ชั่วอึดใจหนึ่งเขาก้มลงมองสิ่งที่อยู่ในวงแขนของเขาในท่า เอนบนตัก มือข้างขวาที่มีนิ้วเรียวยาวผิดธรรมชาติดึงเลิกผ้าบางส่วนขึ้น สีขาวจึงปรากฏแก่สายตา




'...สีขาว...?'




ที่ไม่ใช่สีของหิมะ





'สี...ของ...'













สองเท้าที่ย่ำหิมะมุ่งหน้าสู่ที่หมายด้วยความมุ่งมั่นในหน้าที่พลันชะงักเมื่อเสียงร้องลั่นดังขึ้น



ก่อนทั้งร่างจะเปลี่ยนทิศ วิ่งย้อนกลับไปหาคนที่ตนคิดตีจาก ตัดสายสัมพันธ์ที่รั้งและเชื่อมต่อตัวเขากับโลกใบนี้ไว้



โลกทั้งใบ



โลกของเขา



โลกที่ชื่อว่า 'อู๋เสีย'



อู๋เสีย



อู๋เสีย



อู๋เสีย



...



...





...อู๋เสีย?











โดย ไม่รู้ตัว ร่างกายพลันตอบสนองต่อสิ่งที่ตาเห็นอัตโนมัติด้วยการกระชับอ้อมแขนรั้งสิ่ง นั้นเข้าหาตัว โน้มใบหน้าเกยคางลงบนตำแหน่งที่ทั้งอบอุ่น ทว่าชวนให้ใจร้องหวนไห้อย่างประหลาด



'ทำไมกัน?'



นิ้วชี้ที่ยาวเด่นเอื้อมไปสัมผัส....อ้อยอิง...เชื่องช้า...บนผิวของกระโหลกศีรษะที่บ่งชี้ชัดว่าเป็นของมนุษย์










แขน ที่หักไม่ส่งผลอะไรมาถึงสีหน้าของชายหน้านิ่งที่ใครคนหนึ่งเคยปรามาสไว้ ว่า'น่าเบื่อ'แม้แต่น้อย หากมือทั้งสองข้างกลับสั่นระริกราวต้องของมีพิษยามดึงร่างๆหนึ่งขึ้นมาจาก กองหิมะที่ทับถม


"อู๋เสีย"



ปลายเสียงแผ่วเบาลง นิ้วที่คลำชีพจรค้างเหมือนเจ้าของปลดเปลื้องไปแล้วซึ่งวิญญาณในร่างกาย


'โลกทั้งใบ'พลันจางหายไปกับอากาศธาตุและความเวิ้งว่างของฉางไป๋ซาน












".........เสีย..."



ชายหนุ่มผู้เดียวดายได้แต่คิดว่าตั้งแต่ตื่นมาก็เจอแต่เรื่องที่เขาไม่เข้าใจ


ถ้อยคำอันใดกันที่เหมือนติดเพียงปลายลิ้น หากนึกออกมาไม่ได้


และเขาก็จนปัญญาเกินกว่าจะหาคำตอบ


ว่าเหตุใดเมื่อโอบกอดผ้าห่อโครงกระดูกนี่


อกซ้ายของเขาจึงรู้สึกหนักหน่วง



และกลวงเปล่าเหลือเกิน...









-------------------------------------------------------------------



Talk


ไม่ได้เขียนฟิคมานานมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก ฉะนั้นเรื่องนี้เป็นเรื่องแรกในรอบหลายปีเลยค่ะ แล้วก็เป็นเรื่องแรกของเต้ามู่ด้วย <3

เรา ชอบนั่งคิดบ่อยๆนะคะว่ามีอะไรอยู่หลังประตูสำริด และถ้าตอนที่นายน้อยตามนายเมินไปแล้วเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน มันจะส่งผลอะไรบ้าง เลยเกิดเป็นฟิคสั้นๆนี้ขึ้นมาเพื่อสนองความเพ้อนั้นค่ะ คือ...ในขณะที่คนอื่นชอบเขียนฉากเข้าหอกันก่อนนายเมินหายไปหลังประตู สำริด(เขียนมาเถอะ เราชอบอ่าน 55555+) ในหัวเรามันชอบนึกแต่ว่าถ้าต้องมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งหายไปจริงๆแบบไม่คาดฝัน อย่างในฟิคนี้ล่ะก็...............เหอๆๆๆ //โดนด้วงรุมกัดตาย

สิ่ง ที่เราคิดในหัวก็คือ นายน้อยตามนายเมินมาเหมือนในเล่ม10 แต่นายน้อยตอนขากลับที่ไหลลงเนินไปจนเสี่ยวเกอต้องกลับมาช่วยเนี่ย เสี่ยวเกอกลับมาช่วยช้าไป กลายเป็นว่านายน้อย.....ไปแล้ว สุดท้ายเลยได้มาอยู่ด้วยกันหลังประตูสำริด แต่การมาอยู่ด้วยกันดันอยู่แบบนี้ซะนี่ แถมถ้าเกิดว่าเวลาข้างนอกผ่านไปนานมากๆ และเสี่ยวเกอจะความจำเสื่อมเมื่อเวลาผ่านไปช่วงหนึ่งอีก..........ความ รู้สึกของคนที่ลืมตามาท่ามกลางความสับสนมันจะเป็นยังไง?

ยอมรับว่า เราเป็นคนเขียนฟิคสายปวดตับ งานทรมานคนอ่านคืองานของเรา มีคติว่ายิ่งเรารักตัวละครตัวไหน ต้องทรมานให้ถึงที่สุด อย่าว่าแต่ทนมานคนอ่านเลย คนเขียนก็ต้องทรมานก่อนด้วยจึงจะได้ฟีล สารภาพว่าตอนเขียนนี่พยายามบิ้วท์ตัวเองด้วยภาพในหัวซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนแทบ กระอักเลือดตาย แต่ตอนนี้ก็ได้แค่อย่างที่เห็นล่ะค่ะ...ตอนนี้จะใช้คำจะบรรยายอะไรก็ดูจะ ติดๆขัดๆไปหมดเลยนั่งงมไปเรื่อย เขียนรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง แต่ก็หวังว่าทุกท่านจะเข้าใจนะคะว่าเราเขียนอะไรลงไป.........ใช่มะ???? ;w;