1/8/58

โฆษณารวมเล่ม DMBJ Fan Fiction '世 界' :: โลก (ผิงเสีย)


ในงาน DMBJ Only ในวันอาทิตย์ที่ 16 ส.ค. 2558 ที่จะถึงนี้ เรามีทำรวมเล่มไปวางขายด้วยนะคะ จะเป็นรวมเล่มฟิคสั้นแพร์ริ่ง "ผิงเสีย" จากนิยายจีนแปลเรื่อง "บันทึกจอมโจรแห่งสุสาน" ของสนพ.สยามค่ะ


: : Info ::


世界 [โลก]

Author : Fenrir
Fan Fiction : บันทึกจอมโจรแห่งสุสาน
Fandom : ผิงเสีย (เมินโหยวผิง x อู๋เสีย)
Size : A5, 230 p.
Price : 200 Bath



ในเล่มจะประกอบด้วยฟิคสั้นที่เคยลงในบอร์ดเต้ามู่และลงในบล๊อกนี้ทั้งหมด 11 เรื่อง (อ่านเป็นตัวอย่างก่อนได้ค่ะ)

และมีเรื่องใหม่ที่เขียนลงรวมเล่มโดยเฉพาะอีก 16 เรื่องค่ะ



และนี่ก็คือหน้าปกนะคะ นุ้งกิเลนนนนน<3








: : Contact : :


Twitter : @FenrirBass

E-mail : freedeal.fenrir@gmail.com




ก่อนหน้านี้มีเปิดแบบสั่งจองใน Google Doc คนที่ลงชื่อจองไว้ในงาน DMBJ Only สามารถไปรับหนังสือได้ที่บูธ D10 จนถึงเวลา 13.00 น. นะคะ (หลังจากนั้นจะปลดจากการจองและปล่อยขายในบูธตามปกติ)

 
คนที่สั่งจองไว้ไม่ทันไม่ต้องห่วงค่ะ เราพิมพ์เผื่อมาสำหรับวางขายในงานด้วย แต่ก็ไม่มากเท่าไหร่..../เหงื่อแตก


ส่วนสำหรับคนที่สั่งจองแบบรับทางไปรษณีย์ เราจะติดต่อกลับไปทาง E-mail ที่กรอกไว้ในภายหลังนะคะ ^ ^

อนึ่ง เราไม่มั่นใจว่าพอถึงวันงานจริงๆ มันจะเหลือให้เก็บกลับบ้านกี่เล่ม ถ้ายังเหลืออยู่ เราจะแปะแบบสั่งจองทางไปรษณีย์เพิ่มค่ะ (หรืออาจมีรีปริ้นท์ แต่คงเป็นไปได้ยากอยู่...)



แล้วเจอกันในวันงานนะคะ!


[OS] The Waiting (ผิงเสีย)






[OS] The Waiting




By Fenrir










เขาอยู่มานาน แต่ไม่ได้หมายความว่าจะอยู่ได้ตลอดไป

ผมเคยคิดว่าตัวเองจะเป็นฝ่ายจากเขาไปก่อน กลับกลายเป็นว่าตอนนี้คนที่ถูกทิ้งไว้กลับกลายเป็นผม เป็นเทียนเจินอู๋เสียในสายตาของเขาเสมอมา

ปี๊บ...ปี๊บ...ปี๊บ...

ใต้แสงไฟสลัว ผมยืนเคียงข้างเขา ลมหายใจเย็นชวนยะเยือกลอยเป็นไอขาวฟุ้งในอากาศ แต่ทั้งหมดนี้คงไม่หนาวเท่าเขาที่ต้องอยู่แต่ในนั้น

จางฉี่หลิงตายครบหนึ่งเดือนแล้ว



-



ทุกอย่างเริ่มต้นและจบลงอย่างเรียบง่าย เหมือนครั้งแรกที่เขาและผมเดินสวนกันหน้าร้านของอาสาม

คล้อยบ่ายกลางฤดูใบไม้ร่วง เสี่ยวเกอนั่งอยู่บนเก้าอี้หวาย หน้าต่างเปิดกว้างรับลมพัดเข้ามาเต็มที่ มู่ลี่สะบัดส่งเสียงกระทบกัน ผมก้าวเข้ามา นี่เป็นห้องของผมเอง คนที่ใช้ได้อย่างอิสระย่อมเป็นเจ้าของบ้าน นอกเหนือจากนั้นคือเมินโหยวผิง

วันนั้นเป็นวันพิเศษ ประมาณหนึ่งเดือนก่อนหน้า นายอ้วนนัดกับผมและเสี่ยวเกอเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าเขาจะกลับมาเยี่ยมเราที่ หังโจวและจะให้ผมพาไปเลี้ยงข้าวมื้อใหญ่ ผมด่าพอเป็นพิธีใส่โทรศัพท์ไปชุดนึงแต่ก็ยอมให้จนได้ จากนั้นเราจะทำอะไรได้อีกนอกจากบอกเสี่ยวเกอให้เรียบร้อยแล้วตั้งหน้าตั้งตา คอยวันที่จะได้มาอยู่พร้อมหน้ากันอีกครั้ง เพราะหลังจากคณะของผมเดินทางกลับลงมาจากฉางไป๋ซาน ผม นายอ้วน รวมถึงเสี่ยวฮัว ก็แทบไม่ได้เจอกันอีก ต่างฝ่ายต่างมีงานของตนที่ต้องไปจัดการสะสาง ชีวิตมันเป็นเช่นนี้เอง เรื่องหนึ่งจบลงแล้วก็ผ่านไป ยังไม่ทันไรเรื่องใหม่ก็มาดักคอรออยู่ข้างหน้าราวภูตผีตามหลอกหลอน เพราะอย่างนั้นนี่จะเป็นมื้อแรกของพวกเราสามคนในรอบปีตั้งแต่เรื่องทั้งหมด จบลง

ใบหน้าของเมินโหยวผิงดูไม่เปลี่ยนไปจากยามปกติหรือเมื่อสิบปีก่อนเลยสักนิด ทว่าท่วงท่าผ่อนคลายบนเก้าอี้ตัวโปรดของผมทำให้ผมยิ้มออกมาอย่างบริสุทธิ์ใจ นึกขอบคุณตัวเองเหลือเกินที่อดทนรอและทำทุกอย่างเพื่อพาตัวเขากลับมาอยู่ ด้วยกันที่นี่ในวันนี้

“เสี่ยวเกอ ไปกันเถอะ” ผมเรียกเขาให้หลุดจากภวังค์ ตั้งใจเข้ามาหยิบอะไรเล็กๆน้อยๆแล้วพาเขาออกไปด้วยกัน

เข็มบนหน้าปัดนาฬิกาเคลื่อนไป กลไกฝีมือมนุษย์สรรสร้างขยับไหวส่งเสียงเป็นจังหวะสม่ำเสมอ กริ๊ก กริ๊ก กริ๊ก

ตรงกันข้ามกับก้อนเนื้อที่แทบหยุดเต้นและเลือดในกายที่เย็นเฉียบไปถึงไข สันหลัง สว่างวาบ แล้วว่างเปล่า ราวระเบิดกวาดล้างทุกอย่างกลางจักรวาล

“เสี่ยวเกอ” สองมือยกขึ้นสัมผัสใบหน้า รู้สึกอุ่นด้วยไอชีวิตแผ่วจาง ทว่าเย็นเกินกว่าจะมีวิญญาณ์สถิตในร่าง “เสี่ยวเกอ!”

เขาไม่ลืมตาขึ้นมาอีก แม้ผมจะเรียกเขาเท่าไหร่ก็ตาม



-



ในวงการคว่ำกรวย การมีคนตายหรือเป็นฝ่ายพลาดท่าเสียเองถือเป็นเรื่องแสนสามัญธรรมดา หากก้าวมาอยู่ในโลกนี้แล้วย่อมได้พบได้เจอะเจอจนกลิ่นสาบสางศพและคาวเลือด ติดตามตัว หัวใจคนไม่ใช่หินผา แต่เมื่อถูกทำร้ายทำลายบ่อยครั้ง นานวันเข้าย่อมสร้างเกราะหนา กว่าจะรู้ตัวว่าหัวใจถูกหุ้มด้วยเนื้อหินก็เมื่อนั้นที่คุณไม่มีแม้น้ำตาสัก หยดจะหลั่งให้กับความตายที่เกิดขึ้นต่อหน้า ซึ่งอาจรวมถึงจางฉี่หลิงและตัวผมเอง

หากเวลาช่วงสิบปีที่แยกพวกเราไว้ด้วยประตูสำริดมีอำนาจมากพอจะเปลี่ยนบัณฑิต ไก่อ่อนนอนเฝ้าร้านไปวันๆอย่างผมให้กลายเป็นก้อนหินเย็นชาผู้สืบทอดบารมี บัญชาหน้าด่านได้ไม่ต่างจากอาสาม ชีวิตของเขาที่ดำเนินยาวนานจนหาจุดเริ่มต้นไม่ได้ย่อมก่อร่างสร้างภูผาสูง ตระหง่านอยู่ภายใน ผมคิดว่าเสี่ยวเกอเผชิญหน้ากับการพบพานและลาจากมามากกว่าใครกระทั่งชินชากับ ความตาย หากมีวันใดวันหนึ่งที่เขาต้องจากไป ย่อมถึงเวลาอันสมควรแล้วที่ร่างกายนี้ต้องหยุดพักหลับใหลไปตลอดกาล

การดำรงอยู่ของสกุลจางและภาระในฐานะทายาททั้งหมดล้วนเป็นของจางฉี่หลิง และเมื่อเขาจากไป ความลวง ความจริง ตัวตนของเขา ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมดับสูญตายตกตามกันไปด้วย

ความดื้อดึงของผมไม่มีวันยอมรับให้มันเป็นเช่นนั้น

เวลาของจางฉี่หลิงที่แบกรับหน้าที่หลังประตูสำริดอาจหมดลงเพราะผมเป็นคนจบมัน

แต่เวลาของเมินโหยวผิง เวลาที่เขาต้องใช้ร่วมกันกับผมมันยังไม่หมด

ทั้งผม ทั้งเสี่ยวเกอ เราไม่ได้อดทนรอสิบปีเพื่อพบกับจุดจบแบบนี้! ต่อให้ฟ้าดินลิขิตขีดเส้นให้อายุขัยของเขาสิ้นสุดลงแค่นี้ ผมก็จะลองทุกวิถีทางเพื่อยืดมันออกไป ต่อให้ด้ายชีวิตถูกตัดสะบั้น อู๋เสียคนนี้จะหาด้ายเส้นใหม่ที่แกร่งกว่ามาทดแทนให้!

ผมต้องการเขา

และผมรู้ว่าเขาก็ต้องการผมเหมือนกัน

“รออีกหน่อยนะเสี่ยวเกอ ฉันจะพานายกลับมาเดี๊ยวนี้แหละ”

นาบฝ่ามือบนผิวกระจกใส ความเย็นจากอีกฝากฝั่งของกระจกทำให้ผิวรู้สึกชาเหมือนแช่น้ำกลางทะเลสาปใน ฤดูหนาว อุณหภูมิระดับนี้อาจทำร้ายคนเป็น แต่มันจะดีสำหรับเมินโหยวผิง ด้วยความช่วยเหลือที่ต่อสายตรงจากตระกูลเซี่ยและตระกูลฮัว บวกกับทรัพย์สินและอิทธิพลมากมายที่ผมไขว้คว้าหามาเลือดตาแทบกระเด็นภายใน สิบปีนี้ทำให้อุปกรณ์ทางการแพทย์และบุคลากรชั้นแนวหน้ามากความรู้ทั้งหลาย ส่งมาถึงมืออย่างรวดเร็ว ร่างของเมินโหยวผิงถูกผมสั่งย้ายไปที่บ้านอีกหลังที่ใหญ่กว่าเพื่อรองรับคน จำนวนมากที่จัดหามาช่วยเขาโดยเฉพาะ ข้าวเย็นที่นายอ้วนแวะซื้อมาให้ก่อนกลับไปเมื่อชั่วโมงที่แล้วน่าจะยัง วางอยู่ในครัวข้างล่าง แปลกดี ทั้งที่คุยงานมาตลอดทั้งวันและแทบไม่ได้นั่งกินอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน เมื่อเห็นหน้าเขาผมกลับไม่รู้สึกหิวสักนิด


...อู๋เสีย พาฉันกลับบ้าน...


หางตาของผมเริ่มร้อนผะผ่าว หากยังกลั้นใจยับยั้งมันเอาไว้ได้ ผมสูดลมหายใจลึก ยิ้มให้คนที่นอนอยู่ภายในกระบอกแคปซูลแก้วตรงหน้า

สิบปี เราสองคนยังอดทนรอกันมาได้

เทียบกับครั้งแรกแล้ว ถ้าต้องรออีกสักปีสองปี ห้าปี สิบปี หรือนานกว่านี้ ถ้ามีแต่ต้องพานายกลับมาด้วยวิธีนี้ ผมได้แต่หวังว่ามันคงไม่ทรมานมากนักถ้าต้องรออีกครั้ง ตราบเท่าที่ยังมีความหวังอยู่

จริงไหมเสี่ยวเกอ?



-



ห้องของอู๋เสียมีหน้าต่างอยู่บานหนึ่ง หากเปิดออกไปจะเห็นกิ่งก้านของต้นบ๊วย อวดดอกบานสะพรั่งหยอกล้อลู่ลม

กลิ่นแรกในยามเช้าคือกลิ่นดอกบ๊วย

สิ่งแรกที่ปรารถนายามตื่นคือ...



“ฟื้นแล้วเหรอเสี่ยวเกอ”

เปลือกตาเปิดขึ้นเมื่อได้ยินเสียงดังขึ้นใกล้ตัว ก่อนหลุบลงอย่างรวดเร็ว แสงสว่างจ้าที่อาบดวงตาฉับพลันทำให้รู้สึกแสบจนต้องหรี่ตา ผ่านไปครู่หนึ่ง ชายหนุ่มจึงลืมตาขึ้นอีกครั้ง ภาพเบื้องหน้ายังคงพร่ามัวเหมือนมีม่านหมอกหนาบดบัง ทว่าค่อยๆจางลงทีละเล็กละน้อย

จางฉี่หลิงเบือนหน้าไปยังทิศทางของเสียง วิสัยทัศน์ที่เริ่มกระจ่างใสขึ้นเรื่อยๆปรากฏภาพใบหน้าคนๆหนึ่งซึ่งเขาไม่มีวันลืมเลือน

อู๋เสีย?

“นายรู้สึกยังไงบ้าง เจ็บอะไรตรงไหนมั้ย”

เขายันตัวขึ้นทว่าไม่รู้สึกถึงเรี่ยวแรงของตนเลยแม้แต่น้อย จึงล้มตัวลงไปนอนอีกครั้ง แววตาฉายความสับสนชัดบนใบหน้าเรียบเฉย พอจะลุกขึ้นอีกครั้ง คนที่ยืนอยู่ข้างๆก็เอื้อมมือมาจับไหล่เขาไว้ ออกแรงดันเพียงเล็กน้อยให้กลับลงไปนอนอย่างเดิม “อยู่นิ่งๆก่อน อย่าเพิ่งรีบลุกตอนนี้นะ”

“ทำไมฉัน...” เสียงที่เปล่งออกมาฟังดูแหบเบา อีกทั้งคอยังแห้งผากเหมือนทะเลทราย อู๋เสียรินน้ำให้แก้วหนึ่งที่เขาเค้นแรงเอื้อมมือรับมาดื่มด้วยความกระหาย

“จู่ๆนายก็หลับไป” คนตรงหน้าเริ่มอธิบาย ใบหน้าเคร่งขรึมลง “แล้วก็ไม่ตื่นขึ้นมาอีกเกือบๆสามเดือนเต็ม...”
เขาเบิกตากว้าง ปล่อยให้คำพูดซึมซับเข้าหัวสมองช้าๆ “ฉันคิดว่านายจะไม่ฟื้นขึ้นมาอีกแล้ว แต่ว่า...” แก้วน้ำว่างเปล่าในมือถูกดึงออกไป แทนที่ด้วยมือที่ยื่นเข้ามากอบกุมมือขวาของเขาเอาไว้

“ฉันเชื่อว่านายต้องฟื้น ฉันคิดว่านายคงไม่มีวันหลับไปตลอดกาลแบบนั้นแน่ ร่างกายนายอาจแค่อ่อนแอหลังอยู่หลังประตูนั่นมานาน เลยมาชาร์จพลังงานใหม่ข้างนอกเอา”

อู๋เสียยิ้ม ก่อนจะผละออก “เดี๊ยวฉันไปโทรบอกคนอื่นๆก่อนนะว่านายฟื้นแล้ว--”



หมับ



คนที่หยิบมือถือขึ้นมาชะงักเท้า หันกลับไปก็พบว่าคนบนเตียงใช้สองนิ้วยาวคีบชายเสื้อของเขาไว้แน่น แล้วจ้องตาเขาไม่กะพริบ

“มีอะไรเหรอเสี่ยวเกอ นายพัก—“

“อู๋เสียอยู่ไหน”

คนโดนถามมีสีหน้างุนงง จางฉี่หลิงเค้นแรงดึงชายเสื้ออีกฝ่ายแน่นจนมือสั่น

"เพ้อเจ้ออะไรของนาย ฉันอยู่ที่นี้แล้วไง"

“นายไม่ใช่อู๋เสีย”

‘อู๋เสีย’ ตัวกระตุกเบาๆ ปฏิกริยานั้นสร้างแรงสะเทือนส่งผ่านปลายนิ้วมากเกินพอที่จะยืนยันความคิดอ่านในใจได้ชัด

แม้ใบหน้านั้นจะเป็นใบหน้าเดียวกันไม่ผิด

แต่พิจารณาจากแววตา น้ำเสียงที่มีส่วนผิดแปร่งแปลกหูเล็กน้อย และสัมผัสเรียบลื่นของมือคู่นั้นที่กอบกุมมือขวาของจางฉี่หลิงไว้เมื่อครู่ เขารู้ได้ทันทีว่าคนๆนี้ไม่ใช่อู๋เสีย

สิบปีที่เขาไปทำหน้าที่แทนที่คนๆนั้นทำให้หลายๆอย่างในตัวคนไร้เดียงสามาก ล้นความดื้อรั้นเปลี่ยนแปลงไป ถึงอย่างไรในสายตาของเขาอู๋เสียคนนั้นก็ยังเป็นเทียนเจินอู๋เสียอย่างที่นาย อ้วนแซ่หวังเรียกล้ออยู่เรื่อยไป แต่ ‘อู๋เสีย’ ที่ยืนอยู่ตรงหน้าสะอาดเกินไป สะอาดเหมือนกระดาษขาวที่ไม่เคยต้องฝุ่นต้องหมึก สะอาดยิ่งกว่าอู๋เสียในครั้งแรกที่ได้พานพบกันเสียอีก เสมือนไม่เคยผ่านประสบการณ์แสนอันตรายในการลงกรวย ไม่เคยได้ล้มลุกคลุกคลานแข้งขาหักในป่าเขา หรือกระทั่งแววตาเด็ดขาดในการรับมือลูกน้องของเถ้าแก่อู๋ที่เขาเคยได้เห็นก็ ไม่มีทิ้งร่องรอยไว้

“เขาอยู่ไหน นายต้องการอะไร”

ดวงตาสองคู่จับจ้องราวเสือกับสิงห์ระแวดระแวงภัย

อู๋เสียถอนหายใจยาว

“ใบหน้านี้ตบตาคุณไม่ได้จริงๆสินะ”

คนโดนจับได้ยกมือขึ้น ค่อยๆเลาะนิ้วผ่านกลุ่มผม ลอกผิวสีเนื้อติดกลับออกมา เผยให้เห็นใบหน้าที่ไม่คุ้นตา

“ในหัวของคุณคงมีแต่คำถาม ผมจะตอบคุณทั้งหมดเอง ส่วนเรื่องอู๋เสีย คุณไม่ต้องห่วงอะไรเขาอีกแล้ว”

หน้ากากหนังมนุษย์ถูกผู้สวมใส่วางไว้บนโต๊ะข้างเตียง ชายแปลกหน้าเข้ามาประชิดขอบเตียง แล้วโค้งตัวทำความเคารพ

“ผมคือทายาทสกุลอู๋ ทุกสิ่งที่เราทำ ทุกสิ่งที่คุณจะได้เห็น ได้รู้ต่อจากนี้ ทั้งหมดเกิดจากความต้องการของท่านปู่ของผม”

เขาเงยหน้าขึ้น

“ผมคือหลานของปู่เสียหรืออู๋เสียที่คุณรู้จัก ท่านคงยินดีมากหากได้รู้ว่าคุณกลับมาแล้ว ยินดีที่ได้รู้จักคุณนะครับ จางฉี่หลิง”



-



...ไม่ถึงขนาดนั้น ถ้านายหายไป อย่างน้อยฉันจะรู้...

สองมือที่เหี่ยวย่นเกร็งกำแท่นวางแขนแน่น ดวงตาฝ้าฟางบนใบหน้ามากริ้วรอยแห่งกาลเวลาจับจ้องผ่านม่านกระจกทรงกระบอก ร่างที่อยู่ในแคปซูลยังไร้ปฏิกริยาตอบสนอง

เอื้อมมือระโหยโรยแรงทาบบนพื้นผิวเนียนใสของกระจก ลูบไล้เหนือบริเวณใบหน้าอ่อนเยาว์อย่างไม่อาจเอ่ยคำบรรยายใดๆให้กับความ รู้สึกจุกที่ตื้อตีบตันในลำคอ เขาหายใจลำบากเหลือเกิน

“ขอโทษนะเสี่ยวเกอ”



...แต่เวลาของฉันหมดแล้ว...






ปี๊บบบบ.....!!


เสียงร้องลั่นจากหน้าจอวัดชีพจรสร้างความโกลาหลทั่วทั้งห้องสี่เหลี่ยมเล็ก เงามากมายเคลื่อนไหววูบวาบ เสียงโหวกเหวกวุ่นวาย เสียงฝีเท้าหนักของผู้คน

ล้วนค่อยๆเงียบสงัดลง....

โลกทั้งใบของอู๋เสียดับสนิท





และแล้ว


...กึก...


จางฉี่หลิงก็ได้ลืมตาขึ้น


ในอีกสามปีหลังจากนั้น



[OS] สิ่งที่ชอบที่สุด (ผิงเสีย)







[OS] สิ่งที่ชอบที่สุด (ผิงเสีย)





By Fenrir















ผมชอบดวงตาคู่นั้น


...ดวงตาที่บางครั้งอาจได้ทันเห็นประกายเล็กๆวาบแล้วกลืนหายไปเมื่อผมเรียก





ผมชอบจมูกของเขา


...ปลายจมูกของเราซุกซนชนกันเหมือนหยอกล้อ ซุกไซ้ พ่นลมหายใจเข้าออกรดบนต้นคอ ลากเหนือผิวไล่ต่ำลงมา...เขาทำให้ผมรู้สึกเหมือนกำลังจะตายเพราะความร้อนที่ กระจายไปทุกส่วน





ผมชอบริมฝีปากราบเรียบนั้น


...ที่กลับยักยิ้มน้อยๆยามผมลูบใบหน้า ปลายนิ้วเกลี่ยเส้นผมชื้นเหงื่อออกไป เพื่อที่ผมกับเขาจะได้แลกเปลี่ยนความหวานกันเนิ่นนาน จนกว่าผมจะเป็นฝ่ายผละออกเมื่อใกล้ขาดใจตาย





ผมชอบไหล่ของเขา


...ทั้งตึงแน่นและแข็งแกร่งเหมือนใยกล้ามเนื้อนับล้านประสานกันในจุดเดียว ผมเอนใบหน้าลงซบ สูดกลิ่นสมุนไพรเจือจางคละเหงื่อจากต้นคอ ให้ฤทธิ์ประหลาดเหมือนเครื่องหอมโบราณ อุ่นใจคล้ายได้รับการปกป้องไม่ว่ายามปกติหรือลงดิน





ผมชอบรอยสักของเขา


...กิเลนตั้งท่าทะยานโลดแล่นที่ปรากฏบนไหล่จรดแผ่นอกดูปราณีตและสง่างามยาก จะละสายตา หากแนบหูผมจะได้ยินเสียงสัญญาณแห่งชีวิตที่เต้นแรงแข่งกับเสียงของผมเอง ในอ้อมกอดนี้คือกิเลนที่มีอยู่จริงไม่ได้เป็นเพียงตำนาน ทั้งที่ชอบมันมากขนาดนั้นแต่เขากลับไม่ปล่อยโอกาสผมได้สำรวจมันนานนัก





ผมชอบมือคู่นั้น


...ไม่ว่าข้างที่มีนิ้วเรียวยาวพิเศษและอีกข้างที่แสนสามัญ มันเข้ามากอบกุมสอดประสานมือของผมแนบแน่นราวเป็นเนื้อเดียว ตรึงแน่นกับที่เหมือนตอกตะปูไม่ให้ขยับหายหากไม่แรงพอทำให้ผมเจ็บ พอผมเผลอก็เที่ยวลากไล่สำรวจทุกซอกทุกมุมซะไม่เหลือเร้น เรียนรู้และจดจำได้แม่นยำราวกับร่างกายนี้เป็นแผนที่สุสานยิ่งกว่าตัวเจ้า ของเอง





ผมชอบ............


อ่า เรื่องบางเรื่องผมคิดว่าไม่ขอพูดจะดีกว่า ผมคงตอบได้แค่ว่าอุณหภูมิและกำลังของเขาไม่ใช่เรื่องโกหก แทบไม่น่าเชื่อว่าแมวเฉยชาข้างหน้าต่างตัวหนึ่งจะกลายร่างเป็นพยัคฆ์ได้ใน หนึ่งอึดใจ เยื้องย่างไล่ต้อน กระทั่งสติที่เลือนรางของผมพร้อมจะหลุดลอยหายไปแล้วโดนเขากระชากกลับคืนมา ใหม่ได้ตลอดเวลา อาการวนเวียนชวนสับสนคล้ายกึ่งหลับกึ่งตื่นนี้อาจเกิดกับผมฝ่ายเดียวก็ได้ ช่างไม่ยุติธรรมเลย แต่เวลานั้นใครจะสน ผมเห็นเพียงพายุพัดกระหน่ำเกรี้ยวกราด กัดกินตะกละตะกรามจนทั้งเนื้อทั้งตัวไม่เหลือเรี่ยวแรง





ผมชอบทุกอย่างในตัวจางฉี่หลิง


ทุกอย่างที่เป็นเขา





เขาปากหนัก อมพะนำ บ่อยครั้งที่ผมหงุดหงิดกับการทำตัวมีความลับเยอะแบบนี้ แต่ขาดจุดนี้ไปก็ไม่ใช่เขาที่พวกเรารู้จัก และทุกอย่างก็คงแตกต่างไปจากนี้มากมาย



ถ้าเขาไม่ทำเมินเหมือนผมเป็นอากาศธาตุในตอนแรก ผมคงไม่ตามตื้อดื้อด้านมาจนถึงวันนี้



ถ้าเขาไม่ได้เที่ยวผลุบๆโผล่ๆ ทำตัวเหมือนคนธรรมดามากกว่านี้ ผมคงไม่เผลอมองหาเขาจนกลายเป็นนิสัย โล่งใจแม้เห็นแค่เงาหรือตัวเขาที่ยืนเงียบอยู่ไม่ไกล



ถ้าเขาไม่เก็บงำทุกอย่างเงียบไว้กับตัว ผมคงไม่ได้สนใจ ซักไซ้อยากรู้เรื่องราวต่างๆในตัวเขามากอย่างที่ทำอยู่



ถ้าเขาไม่ได้เข้ามาช่วยผมซ้ำแล้วซ้ำเล่า ไม่ได้เสี่ยงอันตรายจนเกือบเอาชีวิตไม่รอดหลายหน ผมคงไม่ได้มองเห็นเขาเป็นมนุษย์เหมือนอย่างที่ตัวผมเป็น มนุษย์ที่มีวันเพลี่ยงพล้ำ มีวันอ่อนแอ มีหัวใจและความห่วงใยที่แทบไม่แสดงออกทางหน้าตา



ถ้าเขาไม่มาลาผมในตอนนั้น ผมคงไม่ได้ออกเดินทางตามเขาไปถึงฉางไป๋ซาน ไม่ได้รับรู้ว่าเขาทำอะไรไปเพื่อผม


และคงไม่ได้ทันฉุกใจคิด ว่าตัวเองกำลังจะสูญเสียใครคนหนึ่งที่สำคัญไปอีกนานแสนนาน





ไม่ว่าจะยอมรับหรือไม่ ทุกอย่างที่ผมชอบและไม่ชอบ สุดท้ายล้วนล้วนประกอบกันเป็นเขา คนสำคัญของผมที่ครั้งหนึ่งเอ่ยว่าผมเป็นสิ่งเชื่อมโยงเพียงหนึ่งเดียว ระหว่างเขากับโลก


หากจะมีข้อเสียบางอย่างที่เกินแก้ผมก็ถือว่าด้วยธรรมชาติของมนุษย์แล้ว ตัวผมเองย่อมมีไม่ต่างกันหรืออาจมากกว่า ท้ายที่สุดแล้วกาลเวลาได้พิสูจน์ว่าผมยังคงชอบเขาที่สุดอยู่ดีแม้จะรู้อยู่ แก่ใจว่าเขาเป็นอย่างไร


ฉะนั้นผมจะไม่ขอให้เขาเปลี่ยนแปลงอะไรเพื่อผม เพราะทั้งหมดนั่นคือเขา เขาเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้นที่เทียนเจินอู๋เสียและเถ้าแก่สามชอบที่สุด





และถ้าไม่ใช่นายเรือพ่วงเมินโหยวผิงน่าเบื่อคนนี้





ผมก็ไม่รู้ว่าชีวิตนี้จะฝากหัวใจไว้กับใครได้อีกแล้ว











---------------------------------




Talk




คราวนี้มาสั่นๆรับลมร้อนและอาการขาดกาวเคลือบน้ำตาล เราต้องการกาว!! กาวหายไปไหนหมดดดด!!!!!

เราเห็นคุณเบียร์แปลซาไห่ตอน2ลงบอร์ดเต้ามู่แล้ว เกิดอาการอยากแซะต้นแขนเสี่ยวเกอขึ้นมา ฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟ

Fetishกล้ามเนื้อลีนๆแต่แข็งแกร่งเกินจะมองออกด้วยดวงตาแต่ต้องเรียนรู้ด้วยการสัมผัสโดยตรงนี่มันดีจริงๆนะ!!! อิจฉาาาาาาาาาา!!!!!

[OS] Weight Loss (ผิงเสีย)





[OS] Weight Loss (ผิงเสีย)



By Fenrir











“ฮ้า...”





“นายไหวไหม?”


ผมหอบ แทบกระอักลมหายใจตัวเอง


“...ได้อยู่ อึก!”


กัดฟัน เกร็งมือกำผ้าปูที่นอนแน่น แล้วเหลือบหางตาไปด้านหลัง “ต่อสิเสี่ยวเกอ เร็วเข้า”



เหงื่อไหลท่วมหน้า เหนอะหนะจนอยากอาบน้ำ แต่ผมไปจากตรงนี้ไม่ได้ ต่อให้อยากไปใจแทบขาดก็หนีไปไหนไม่พ้น ผมเค้นเสียงลอดไรฟัน อ้อนวอนเขา



“ช่วยฉันที ฉันทนไม่ไหวแล้ว”



เมินโหยวผิงมองผมอยู่ครู่หนึ่งเหมือนกำลังชั่งใจ สุดท้ายพยักหน้า ออกแรงกดร่างผมลงกับเตียง ทั้งเงาและร่างกายของเขาตรึงผมไว้กับที่ต่างตรวน


นิ้วเรียวทั้งสิบกำรอบข้อเท้าทั้งสองข้างของผมยกลอยขึ้น ลมหายใจอุ่นร้อนเป่ารดผิวโดยตรงทำให้ผมเกร็งขาอัตโนมัติ





“อู๋เสีย...”





น้ำเสียงทุ้มนุ่มกระซิบจากเบื้องหลัง ผมซุกหน้าลงกับหมอน หัวใจเต้นโครมครามๆใกล้ระเบิดจากอก





“ทนหน่อยนะ”





เสี่ยวเกอขยับเข้ามา พับท่อนขาล่างลงไปแนบกับต้นขาด้านหลังจนส้นเท้าชนกับสะโพก ทิ้งน้ำหนักตัวถ่ายลงมาที่ขาของผม เต็มๆ



แล้วเส้นฟางความอดกลั้นเส้นสุดท้ายก็ขาดผึง





“อ้ากกกกกกกก!!!!”






ผมดิ้นแรงเหมือนปลาถูกเบ็ดเกี่ยวขึ้นจากน้ำ แต่เสี่ยวเกอล็อคผมไว้จึงดิ้นไม่หลุด



“อู๋เสีย นายต้องผ่อนคลาย”



ขมับผมกระตุกตุบๆเหมือนโดนตีเป็นหนังหน้ากลองงิ้ว เมินโหยวผิงใช้สองมือทั้งบีบนวดทั้งคลึงน่องของผมหวังให้คลายความตึงสุดโต่ง



“ถ้าเกร็งจะยิ่งเจ็บ ยิ่งหายช้า”



พูดมันง่ายกว่าทำเหอะ ผมกำหมัดทุบฟูกรัวๆ กล้ามเนื้อตึงแน่นเหมือนดามด้วยไม้กระดานตั้งแต่ปลายนิ้วเท้าขึ้นมาถึงเอว ผมชักไม่แน่ใจว่าตกลงให้เมินโหยวผิงช่วยนี่มันจะดีหรือแย่กว่าเดิม แต่ก็พยายามสูดลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อผ่อนคลายตามที่เขาแนะนำไว้



ว่าแต่นายจะช่วยกดให้มันเบาๆกว่านี้หน่อยไม่ได้หรือไง บีบจนขาฉันจะแบนเป็นหมูแผ่นอยู่แล้ว ฉันยังไม่อยากพิการเป็นอัมพาตตั้งแต่หนุ่มๆนะเฮ้ย!



เหมือนเขาจะอ่านใจผมออกหรือไม่สีหน้าแววตาผมคงออกอาการดีเดือดชัดเจนเต็มที่ แรงกดที่ท่อนขาจึงผ่อนลงเล็กน้อยพอให้รู้สึกหายใจคล่องขึ้น แถมได้รับค่าทำขวัญที่ร้องเสียงหลงเมื่อกี้เป็นบริการนวดฝ่าเท้าจากจางฉี่ หลิง แบบนี้สิถึงเข้าท่าหน่อย ไม่ใช่จับผมงัดขึ้นงัดลงเหมือนตุ๊กตา



“เฮ้ๆ หมูที่ไหนมันแหกปากร้องเมื่อกี้น้องเสี่ยวเกอ ฉันอยู่ในห้องน้ำนี่สะดุ้ง นึกว่าหลังบ้านเทียนเจินมีโรงเชือดเลยว่าจะไปขอซื้อซี่โครงกับขาหมูมาต้มน้ำ แกงให้พวกนายกินซะหน่อย”



เสียงกวนประสาทแม่งลอยมาเข้าหูก่อนตัวซะอีก พออ้าปากจะด่าว่าไอ้ที่ร้องเมื่อกี้มันคนแท้ๆไม่ใช่หมูก็โดนเมินโหยวผิงใช้ จังหวะนี้ออกแรงกดขาผมพับลงให้แนบแน่นกว่าเดิมอีกรอบ!



นายอ้วนเดินเข้ามาพร้อมกะละมังใส่น้ำและผ้าขนหนู มองผมที่อ้าปากพะงาบๆเป็นปลาแล้วหัวเราะตัวโยน ไอ้อ้วนนี่มาโซหรือไงเห็นคนทรมานแล้วหัวเราะชอบอกชอบใจ!



“เอ้าๆ เพลามือหน่อย เดี๊ยวเทียนเจินก็ตายก่อนพอดี” เดินมาตบไหล่ผมป้าบๆแล้วยิ้มกว้าง



“แต่เสี่ยพูดเลยนะ ถ้าไม่รู้มาก่อนว่าเทียนเจินไปทำอะไรมา ที่น้องเสี่ยวเกอกับเทียนเจินคุยกันเมื่อกี้ คนรักเพื่อนที่แสนดีอย่างฉันคงไปมโนว่านายกำลังซัมติงกันอยู่แหง”



กรีดนิ้วป้อมๆทำรูปหัวใจท่าทางตุ้งติ้ง ตาเยิ้มเป็นตาแก่ชอบหลอกแต๊ะอั๋งสาวๆ ผมเห็นแล้วขนลุกพรึ่บ อยากถามเหลือเกินว่าเอาความคิดว่าผมจะทำอะไรลามกๆกับเสี่ยวเกอตลอดเวลามาจาก ไหน (ต่อให้มีบ้างก็เถอะ) ตั้งแต่กลับมาจากฉางไป๋ซานก็เล่นผมแต่เรื่องนี้ นี่ไม่เบื่อบ้างหรือไง



ผมกลอกตา ปล่อยให้คนบ้าแม่งบ้าต่อไปให้หายอยาก ส่วนคนที่ล็อคผมไว้ตอนนี้ก็จัดแจงเอาขาผมลงเรียบร้อย เปลี่ยนมาใช้นิ้วโป้งกดตามจุดต่างๆแทน



ถามว่าผมมาอยู่ในสภาพนี้ได้ยังไง?



ผมบอกเลยว่าเพราะเรื่องไม่เป็นเรื่องชัดๆ





---





ย้อนไปเมื่อวันก่อน เสี่ยวฮัวนั่งเครื่องจากปักกิ่งมาเยี่ยมผม อารามดีใจที่ไม่ได้เจอเพื่อนสมัยเด็กที่ไปพึ่งพาอยู่เรื่อยและญาติอายุใกล้ เคียงกันที่ผมคลุกคลีด้วยมากที่สุดบ่อยนัก เลยเสนอตัวจะเลี้ยงข้าวที่ภัตตราคารชื่อดังในหังโจว



ตอนนั้นผมน่าจะเพลียเอาเรื่องอยู่เพราะอยู่ระหว่างสะสางคดีพวกหน้าด่านกับ พวกที่คิดเล่นไม่ซื่อกับตัวเลขบัญชีที่ผ่านสายตา ระยะหลังผมเลยกินอาหารไม่เป็นเวลา แถมไม่มีเมินโหยวผิงที่ตอนนี้ไปคว่ำกรวยคอยเตือนให้กินข้าว ดังนั้นพอหย่อนก้นลงบนเก้าอี้ในห้องส่วนตัวแล้วกระเพาะเริ่มร้องประท้วงผม จึงเผลอสั่งอาหารมาเต็มโต๊ะ น่ากลัวว่าแค่คนสองคนจะกินไม่หมด



ผมกับเสี่ยวฮัวเรานั่งกินไปคุยไปเรื่อยเปื่อย รู้สึกผ่อนคลายสบายใจแถมอาหารก็อร่อย ผมจิ้มตะเกียบเข้าปากเพลิน อาหารพร่องไปเรื่อยๆ ผ่านไปสักพักผมถึงสังเกตว่าเสี่ยวฮัวเริ่มเงียบ ดวงตาคมสวยมองผมเหมือนครุ่นคิดอะไรบางอย่าง



“มีอะไรงั้นหรือ” ผมถาม ตะเกียบคีบเนื้อไก่ผัดเปรี้ยวหวานเข้าปาก รสสัมผัสนุ่มคละเคล้าซอสและเครื่องปรุงรสกลมกล่อมของเนื้อไก่ทำให้ผมติดใจจน ต้องเรียกบริกรมาสั่งอีกจาน



คิ้วเสี่ยวฮัวกระตุกแว่บนึง หรืออาหารจะไม่ถูกปากเสี่ยวฮัว?



“อาเฮีย อย่าว่าฉันอย่างโง้นอย่างงี้เลยนะ”



เขาประสานมือ ทำหน้าเครียดประหนึ่งเปลี่ยนโหมดอัตโนมัติ กลายเป็นคุณชายสกุลเซี่ยสุดเนี้ยบที่ตอบรับคำเชิญเลี้ยงอาหารของคู่ค้าเป็น หน้าฉากก่อนการเจรจาทางธุรกิจ





“แต่นายเริ่มอ้วนเกินไปแล้ว”





“............หะ?”



ตะเกียบหลุดจากมือกระทบจานดังเคร้ง! หมอนี่พูดเรื่องอะไรอยู่? ยังหัววันแท้ๆแต่ก็เมาแล้วรึไง



ผมเนี่ยนะอ้วน ผมบอกปัดในใจอย่างไม่ต้องคิด ไม่มีทาง ผมไม่ใช่นายอ้วนแซ่หวังซะหน่อยถึงจะลงกรวยหนักแล้วยังพุงหนาเป็นกระสอบพันปี



“ทำหน้าแบบนั้นไม่เชื่อฉันล่ะสิ”



ผมเชิดหน้า “ตรงไหนของฉันกันที่อ้วน กางเกงก็ยังใส่ได้ เสื้อก็ไม่ได้เปลี่ยนไซส์ กรวยก็ยังลงได้สบายๆไม่ติดพุง—“



เสี่ยวฮัวขยับมาประชิดตัวผม ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วมาก อาศัยฝีเท้าที่เบาจากการฝึกปรือวิทยายุทธและศาสตร์แห่งงิ้วโบราณตั้งแต่เด็ก ลุกจากเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามมายืนอยู่ข้างๆ



มือขวายื่นลงต่ำ บีบหนังหน้าท้องของผมหนึ่งที ไม่สิ สองที เฮ้ย นี่มันสามที! เซี่ยอวี้เฉินนายมาดึงท้องฉันเล่นทำไม!



“เจอแล้วนี่ไง”



เขายิ้ม



“ ‘พุง’ ของเถ้าแก่สาม”



พูดจบก็เผ่นแน่บไปนั่งเก้าอี้ ทำท่าทางไม่รู้ร้อนรู้หนาว ...เซี่ยอวี้เฉินนับเป็นเพื่อนดีที่หาได้ยากยิ่งในวงการนี้ อย่างน้อยเขาก็ช่วยเหลือผมตั้งหลายต่อหลายอย่างมาหลายปี ผมไม่ควรทำลายมิตรภาพระหว่างเรา แต่เสียดายเหลือเกิน ตอนนั้นผมน่าจะขอให้นายแว่นดำช่วยสอนผมใช้ตะเกียบเป็นอาวุธบ้าง เผื่อจะได้จิ้มโดนตัวเสี่ยวฮัวเอาคืนสักฉึกสองฉึก! ต่อให้ผมมั่นใจว่าเขาจะเอาชนะผมได้แม้อีกฝ่ายจะมามือเปล่าหรือมีไม้จิ้มฟัน หักครึ่งเป็นอาวุธก็เถอะ



“มีนิดๆหน่อยๆก็ธรรมดานี่ ใครๆก็มี เสี่ยวฮัวถ้านายเป็นผู้ชายถึงเวลามันก็ต้องมีเหมือนกันบ้างแหละ ไม่ได้น่าเกลียดตรงไหน”



เขาเลิกคิ้ว แล้วดึงเสื้อเชิ้ตสีชมพูตัวเก่งให้ตึงกระชับแนบไปกับลำตัว ให้ตายเถอะ เสี่ยวฮัวรูปร่างดีชะมัด สมแล้วที่ผู้ชายทั้งแท่งมีหุ่นแบบนี้ถึงเล่นตัวนางได้! แต่แม่งนี่ไม่เท่ากับว่าข้อสันนิษฐานของผมเมื่อกี้มันผิดหรอกเหรอ ไม่ใช่ผู้ชายทุกคนจะมีพุง ต่อให้คนมีพุงน้อยๆพบได้ปกติ แต่คนที่ไม่มีเลยก็มีเหมือนกัน
เสี่ยวฮัวหัวเราะหึๆ ท่าทางสนุกเหลือเกินที่เห็นผมแพ้แบบนี้ นายแม่งโรคจิต!



“เอาหน่าอู๋เสีย ที่บีบพุงเมื่อกี้ฉันล้อเล่น แต่เรื่องที่พูดไปฉันหมายความว่าอย่างนั้นจริงๆ”



มือเรียวขาวประคองถ้วยชาขึ้นจิบ



“นายน่าจะหาเวลาดูแลตัวเองบ้าง ต่อให้คนจะเรียกนายว่าเถ้าแก่สามก็ใช่ว่านายจะต้องทำร้ายตัวเองจนกลายเป็น เจ้าสัวหัวล้านพุงพลุ่ยที่พ้นวัยทองไปแล้ว ทั้งฉันทั้งนายยังไม่แก่ก็จริงแต่อายุเราก็มากขึ้นทุกวันๆ หัดออกกำลังกายไม่ก็ควบคุมอาหารสักหน่อย เอาแต่ทำงานแล้วกินๆนอนๆตามใจปาก ระวังจะแก่เร็วนะอาเฮีย”



ผมอยากเถียง แต่พอเทียบสารรูปตัวเองกับเสี่ยวฮัวที่งดงามเปล่งประกายเสมอ(แม้จะมีตอหนวด โผล่มารำไรบ้าง)ก็พูดไม่ออก ทุกอย่างของหมอนี้มันดูดีเกินไปหมด! ดูเหมือนพรีเซนเตอร์ผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพหรือนักธุรกิจตัวอย่างรุ่นใหม่ไฟ แรงหลุดมาจากหน้านิตยสารพิมพ์สี่สีในสังคมไฮโซมากกว่าเนื้อแท้ของโจรขุด สุสานที่ต้องคลุกคลีกับดินกับศพและทุจริตชนไม่เว้นแต่ละวัน



โอเค เรื่องความดูดีตรงนี้ผมไม่สู้เสี่ยวฮัว แต่ถ้าเรื่องพุงล่ะก็ เถ้าแก่สามขอยืนกรานด้วยเกียรติแห่งสกุลอู๋



ผม ไม่ ได้ อ้วน!








บางทีที่เสี่ยวฮัวพูดอาจจะจริง....



ผมอาจจะเริ่มท้วม....หน่อยๆ..........แต่นี่แค่ระยะเริ่มต้น...ไม่มีอะไรต้องกังวล...............มั้ง?



ผมจ้องตัวเลขบนตาชั่ง เริ่มเหงื่อตก หน้าซีดสลับแดงหลังเจอความจริงซัดใส่หน้ารัวๆ ผมคิดว่าตาชั่งซังกะบ๊วยนี่มันต้องเสียเพราะซื้อมาวางไว้ใต้ตู้แล้วลืมไป แล้วตั้งหลายปี แต่พอให้หวังเหมิงปัดฝุ่นแล้วขึ้นมาชั่งให้ดูก็ใช้ได้ปกติทุกอย่าง



แต่ไอ้ตัวเลขนั่นมันไม่จริงใช่มั้ย! หวังเหมิงแม่งต้องแกล้งล็อคเลขตาชั่งของผมแน่ๆ



หลังปรายตาสั่งให้เจ้ามือขวาตัวดียกตาชั่งไปไว้ที่ชอบๆ ผมเก็บตัวเลขสยองขวัญมาว่ายวนเวียนในหัวตลอดทั้งวัน แม้จะมีเอกสารและตัวเลขหลายร้อยหลายพันตัวที่ตีมูลค่าเป็นเงินหยวนได้มหาศาล ปรากฏบนหน้ากระดาษ แต่ไม่มีตัวเลขไหนในบัญชีทรงพลังได้เท่ากับตัวที่ผมเห็นบนตาชั่งตอนเช้า



ผมเงยหน้าจากเอกสาร คลึงหัวคิ้วตัวเอง รู้สึกเหมือนไมเกรนจะขึ้น ล้วงบุหรี่ขึ้นมาสูบ หวังให้กลิ่นเขม่าควันหอมอ่อนๆที่พ่นจากปากของผมทำให้ใจมันสงบ



แล้วสายตาก็ไปหยุดอยู่ที่โน๊ตบุ๊คที่พับไว้ ผมคาบบุหรี่ไว้แล้วเอื้อมมือยกข้าวของที่วางทับๆมันแยกออกมา
หน้าจอสีฟ้าสว่างวาบ รู้ตัวอีกทีนิ้วก็พรมรัวลงบนคีย์บอร์ด เสิร์ชหาคลิปออกกำลังกายในอินเตอร์เน็ต



มือขวาวางลงบนเม้าส์ ขยับลากเลื่อนหน้าจอขณะกวาดลูกตาสำรวจคลิปที่มีอยู่ดาษดื่นปะปนกับแบนเนอร์ โฆษณาผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร มีไม่น้อยเลยที่โอ้อวดสรรพคุณว่าลดได้แฟ่บเร็ว ผมข้ามๆโฆษณาพวกนั้นเพื่อดูรายละเอียดคลิปออกกำลังกายอย่างจริงจัง ผลคือการออกกำลังกายที่เน้นลดน้ำหนักกระชับรูปร่างส่วนใหญ่ร้อยละ90ก็มีแต่ เต้นๆโยกๆทั้งนั้น



เวรกรรมของเถ้าแก่สาม อายุย่าง40อย่างผมยังต้องมาเต้นกะโหยงกะเหยงหน้าทีวีเพื่อฟิตหุ่นเหมือนสาวๆ วัยรุ่นจอมพารานอยน์ทั้งที่เอวก็เท่ามด เกิดมีใครมาเห็นได้หัวเราะตาย หมดกันทั้งราศีและภาพลักษณ์ที่สะสมมา!



ระหว่างที่ผมกำลังสองจิตสองใจมือก็เลื่อนเม้าส์ขึ้นลงเรื่อยเปื่อย ผมพลันสะดุดตาคลิปๆหนึ่งที่แปลกแยกแตกต่างมาจากคลิปเต้นอื่นๆ พอลองดูคลิปนั้นจนจบก็รู้สึกว่าทำแบบนี้ท่าทางไม่มีอะไรยุ่งยากซับซ้อนหรือ น่าอายเลย หนำซ้ำใช้พื้นที่และเวลาต่อครั้งไม่มาก ผมทำคนเดียวเงียบๆสบายๆทุกวันก็ยังได้



ผมยิ้มออก เอาวะ ลองดูหน่อยจะได้ไม่เสียชื่อเถ้าแก่สาม ถ้าเวิร์คจะได้ทำต่อ ดีไม่ดีลบคำสบประมาทร้ายกาจของเสี่ยวฮัวได้ด้วย





--------------





ผมเดินไม่ได้



จางฉี่หลิงดูตกใจไม่น้อยที่จู่ๆผมก็ทรุดฮวบลงไปต่อหน้า ยังดีที่เอามือยันพื้นไว้ได้ทัน คางจึงไม่ไปกระแทกกับอะไรเข้า แต่แรงก็ดันไปถ่ายลงที่ข้อมือหมดจนความรวดร้าวค่อยๆแล่นขึ้นมาจนชาวาบทั้ง แขน ให้มันได้อย่างนี้สิ! แค่จะเดินไปหาคนยังทำไม่ได้เลย!



ผมได้ยินเสียงฝีเท้าหนักๆสะเทือนพื้นกับเสียงเอี๊ยดอ๊าดของบันไดไม้ใกล้เข้า มา เป็นนายอ้วนหวังที่สะพายเป้เปื้อนฝุ่นเปื้อนดินพะรุงพะรัง แต่มือกลับถือถุงพลาสติกพิมพ์โลโก้ร้านเป็ดปักกิ่งเจ้าดังของเมืองข้างๆ



“เซอร์ไพรส์! ไหนดูซิว่าคนหล่อที่ไหนมา! เสี่ยกลับมากับน้องเสี่ยวเกอด้วย งานนี้เจอกรวยอวบต้องฉลองกัน--อ้าวนี่ นายไปนอนทำอะไรตรงนั้น?”



หน้ากลมแป้นหุบยิ้มดูสับสน เสี่ยวเกอปราดเข้ามาประคองไหล่ผมให้ค่อยๆลุกขึ้น นั่นช่วยอะไรไม่ค่อยได้เพราะผมไม่พร้อมจะลงน้ำหนักที่ขาให้เป็นฐาน ผมเลยเหมือนโดนเขาหิ้วปีกอยู่กลายๆ เป็นหุ่นเชิดที่สายชักขาดเรียบร้อย



สภาพของสองคนที่เพิ่งกลับมามอมแมมดูเหนื่อยล้า แต่ก็ยังอุตส่าห์อุ้มผมไปไว้ที่เตียง ซักไซ้ไต่ถามอาการ



“นายทำอะไรมา ล้มไปแบบนั้นนึกว่าคิดถึงน้องเสี่ยวเกอจนหัวใจวายตาย”



นายอ้วนแซ่หวังพูดแทนคนเงียบขรึมที่นั่งอยู่ข้างๆ เมินโหยวผิงละมือจากหน้าผากไปแตะที่ก้านคอของผม คงจะไม่เจออะไรเลยมุ่นคิ้ว ท่าทางพะวงอย่างคนจับต้นสายปลายเหตุไม่ได้ ไม่แปลกเลยเพราะสาเหตุมันไม่ได้อยู่ตรงนั้นตั้งแต่แรก



“นั่งนานไปหน่อยเลยตะคริวกินล่ะมั้ง..” ผมยกมือก่ายหน้าผาก “ทิ้งไว้อีกเดี๊ยวคงหาย พวกนายมีอะไรก็ไปทำเถอะ น่าจะได้ของดีมาไม่ใช่รึไง”



“ของน่ะได้มาแล้ว มันไม่หายไปไหนง่ายๆหรอกถ้าพวกฉันอยู่ด้วย เถ้าแก่สามตะหากนั่งๆนอนๆอีท่าไหนถึงโดนตะคริวแดกหัวจดตีน”



เมินโหยวผิงหันมามองขาของผม สอดมือซ้ายประคองรับใต้ท่อนขา กำแล้วคลึง กดๆจิ้มๆเหมือนกำลังงัดวิชาปลดกับดักมาใช้กับร่างกายมนุษย์เป็นๆ มือขวาทำไม่ต่างกันแต่ตำแหน่งที่ทาบมือลงไปเป็นบริเวณหน้าแข้ง



เสี่ยวเกอเงยหน้าสบตาผม หน้าตึงเล็กน้อย



“นั่นไง น้องเสี่ยวเกอทำหน้าแบบนี้ไม่ผิดแน่ๆ” นายอ้วนร้อง “เทียนเจิน นายไม่ได้นั่งๆนอนๆที่โต๊ะอย่างเดียวใช่มั้ย คายๆออกมาซะ เสี่ยกับพี่ชายน้อยท่านนี้จะได้รู้ว่าจะทำยังไงต่อ”



ผมกวาดตามองเพื่อนสนิทสองคนแล้วตัดสินใจ นี่เห็นแก่พวกนายที่เพิ่งกลับมาเหนื่อยๆหรอกนะ.....







“ฉันSquatมา”







เครื่องหมายคำถามลอยเต็มห้อง คนถามและคนตอบล้วนเงียบไปชั่วขณะ



“สคง? สควอท? มันคืออะไร? เสี่ยอ้วนไม่ได้ร่ำได้เรียนภาษาฝรั่งมา มันเป็นรหัสลับเวลาคว่ำกรวยหรือเปล่า?”



นายอ้วนทำหน้างงเต๊ก หันไปหาเมินโหยวผิงเผื่อว่าเขาจะรู้



ผมชี้ไปที่หน้าจอโน๊ตบุ๊คที่เปิดหน้าอีเมลล์ค้างไว้ บอกให้เขาเปิดอีกแท๊บหนึ่ง หน้าต่างเว็บดูคลิปวีดีโอออนไลน์ทางอินเตอร์เน็ตโผล่หราขึ้นมา



หลังจิ้มคีย์บอร์ดกับคลิกเม้าส์ไปจึ้กสองจึ้ก นายอ้วนกลั้นหัวเราะตัวสั่นกึกๆ อย่าคิดว่าผมไม่เห็น! เสี่ยวเกอเองเมื่อกี้ก็ไปชะโงกหน้าดูด้วยเหมือนกัน เขาไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกอายเหมือนอย่างนายอ้วน แต่ส่ายหน้า ถอนหายใจแล้วมองผมเงียบๆ คล้ายจนใจ



“ตกลงเทียนเจินนอนแบ๋บเป็นเต้าหู้เพราะนี่หรอกเรอะ” ร่างอ้วนๆทำท่านั่งเก้าอี้ลม ขึ้นๆลงๆเหมือนจะเยาะเย้ยว่าอีท่าออกกำลังแค่นี้ถึงกับทำเถ้าแก่สามหมดสภาพ เอาง่ายๆ นายไม่ลองทำนายไม่รู้หรอกว่าแม่งจะมาเดี้ยงเอาจริงๆก็วันหลังจากทำท่านี้ แค่20นาทีเนี่ยแหละ!



ผมนอนหันหลัง ดึงผ้าห่มคลุมตัว กะว่าถ้านอนให้ร่างกายฟื้นตัวเองแทนที่จะแบกสังขารจากเตียงมานั่งทำงาน เหมือนตอนเช้าอาจจะดีกว่า ตอนนี้นายอ้วนบอกว่าจะไปเตรียมน้ำอุ่นจัดมาให้ เผื่อช่วยประคบคลายเส้นที่ตึงจนลั่นเปรี๊ยะๆได้



ส่วนเมินโหยวผิงขยับมืออีกครั้ง เสนอตัวด้วยใบหน้าเรียบเฉยว่าจะช่วยนวดให้ผมรู้สึกดีขึ้น แล้วมาลงเอยด้วยการที่เขาจับขาผมดัดเหมือนตุ๊กตาจนนอนพังพาบน้ำตาแทบไหลนอง หมอน










ตะวันตกดิน มีโทรศัพท์ด่วนเข้ามาทำให้นายอ้วนที่กำลังตั้งท่าแกะกล่องเป็ดปักกิ่งต้อง รีบไปรับข้างนอกห้อง คุยเสียงดังพลางสบถไปพลางโทษฐานที่โทรมาขัดเวลากินหลังกลับจากกรวยมาหยกๆ สักพักหมอนั่นก็กลับเข้ามา



“ฉันต้องไปก่อน มีปัญหาคนในคณะนิดหน่อย นายอยู่กับน้องเสี่ยวเกอไปก่อนเพราะเสี่ยอาจจะค้างที่โรงแรมเลยคืนนี้ แต่พวกนายอย่าซัดเป็ดฉันหมดนะเว้ย เก็บไว้ถนอมน้ำใจเพื่อนคนนี้บ้าง!”



แว่บเข้ามาคว้ากระเป๋าเงินกับของอีกสองสามอย่างแล้วออกไปอย่างไว พอเห็นหลังอยู่หลัดๆตอนปิดประตูร้านของผม เหลือเพียงเราสองคน เถ้าแก่สามที่นอนเหลวเป็นเต้าหู้ไร้พิษสงกับนายเรือพ่วงจางฉี่หลิงที่นั่ง เฝ้าบนเก้าอี้ข้างเตียง



ผมขยับตัวเพื่อจัดท่าให้ตัวเองนอนสบายขึ้นโดยพยายามไม่ออกแรงที่ขามากเกินไป เคลื่อนไหวยุกยิกอยู่พักนึงจนรู้สึกว่าผ้าห่มถูกเลิกขึ้นจากปลายเท้า



เบือนหน้าไปพบกับจางฉี่หลิง มือทั้งสองแตะน่องของผม ผมเหลือกตา หรือเมินโหยวผิงจะทดลองวิชาฤาษีดัดตนกับผมอีกแล้ว!



ผมตั้งท่าจะกระดึ้บหนีเป็นหนอนให้ห่างจากมือคู่นั้น เลิกลั่กเมื่อนึกขึ้นได้ว่าขยับอีกอีกหน่อยก็เจอหัวเตียงแล้ว แต่เขาทำเพียงลูบเบาๆเหมือนปลอบให้คลายความกังวล หากผมยังไม่วางใจ



“นายไม่ได้จะจับฉันดัดอีกใช่มั้ย”



เสี่ยวเกอมองผม พยักหน้า ก่อนเสนอทางเลือกใหม่ที่ดีกว่า



“ฉันแค่จะนวดให้นายเท่านั้น ไม่ดัดขานายอีก”



“แน่ใจนะว่าจะไม่ดัด”



“อืม”



พอเมินโหยวผิงรับคำ สบตาผมตรงๆ ก็โล่งใจได้เปราะหนึ่ง ผมเปลี่ยนท่ามานอนคว่ำ อำนวยความสะดวกให้ปรมาจารย์จางฉี่หลิงปรนนิบัติพัดวีเถ้าแก่อู๋ได้เต็มเม็ด เต็มหน่วย รู้สึกได้ว่าปลายเตียงยุบลงไป จางฉี่หลิงคงปีนขึ้นมานั่งบนนี้แล้ว



นิ้วทั้งสิบวางลงบนกล้ามเนื้อขาด้านหลังของผม ออกแรงกด ย้ำอย่างรู้จังหวะผ่อนหนักผ่อนเบา ผมหลับตา โครตของโครตความสบาย!



ถ้าผมซื้อห้องแถวสักห้องเปิดร้านนวดแผนโบราณ(พันปี)ให้เขาหันมาเอาดีด้านนี้ แทนการคว่ำกรวย เก็บค่าบริการเป็นรายชั่วโมงเหมือนที่ร้านอื่นๆทำ เมินโหยวผิงจะว่ายังไงนะ





“...อืม..........อื้อ.....!”





ผมกำลังเคลิ้มกับฝ่ามือของเมินโหยวผิงที่บีบนวดไปตามเนื้อตัว สะดุ้งเมื่อมือนักนวดมืออาชีพสอดผ่านชายเสื้อยืด ผมตัวแข็ง



มือซ้ายของหมอนวดจำเป็นยังทำหน้าที่อยู่บนขาของผมทว่าเหมือนมันจะเปลี่ยนตำแหน่งสูงขึ้นมาจากน่องในตอนแรกอยู่โข





“เสี่ยวเกอ ขาฉันมันไม่ได้อยู่ตรงนี้ มือนายไปไหนกัน”





ไม่มีเสียงตอบ หากเงาที่เคลื่อนมาทาบทับจากด้านหลังช่างเหมือนปีศาจร้ายคืบคลานมาหายามหลับ



มือขวายังคงรุกรานค้างคาใต้สาบเสื้อ ผมนอนนิ่ง เฝ้าดูปฏิกริยาของร่างกายที่ตอบสนองต่อกระแสพายุวาบหวิวชวนขนลุกที่เริ่มโลด แล่นอย่างใจเย็น ผิวหนังส่วนที่ได้รับสัมผัสเหมือนโดนช็อต ปลายนิ้วเย็นสะกิดไตเล็กๆบริเวณอกของผม ก่อนลากฝ่ามือผ่านขึ้นไป เสียดสีอ้อยอิงเหมือนไม่จงใจ ซะที่ไหนกัน!



แล้วน้ำเสียงไร้อารมณ์พลันกระซิบข้างหู





“เห็นว่านายอยากลดน้ำหนัก ฉันช่วยได้”





ผมหูผึ่ง ที่ตอนแรกกะว่าจะเอี้ยวหน้ามาส่งสายตาดุๆกลับกลายเป็นความสนใจ แต่มันเป็นความอยากรู้ที่ก่ำกึ่งกับความหวาดระแวงประหลาด





“ยังไง”





สองแขนของเมินโหยวผิงสอดใต้ตัวของผม ร่างถูกจับพลิกกลับมาอย่างนุ่มนวล ประจัญหน้ากับริ้วเปลวเพลิงพริ้วไหวสีเทาที่ทวีความเข้มทีละน้อยบนเชิง กระดูกไหปลาร้า





ชิบ หาย





ผมกลอกตามองเพดาน รู้ซึ่งถึงเจตนาของอีกคนแล้วขาเหมือนจะออกตัวเจ็บแปล่บๆไปก่อนล่วงหน้า ตอนแรกผมคิดว่าจะยอมให้เขาทำแค่แตะๆ แต่ดูทรงแล้ว ความกระตือรือร้นที่เต้นเร่าชัดๆในดวงตาของขวดน้ำมันจอมเหม่อลอยของผมคงไม่ อนุญาตให้หยุดอยู่แค่นั้น



ให้ตายสิ เสี่ยวเกอแม่ง





“.....จาง...........ฉี่หลิง...........อะ......อ้า.....”





นายให้ฉันออกกำลังกายด้วยตำรับลับหอบ้านสกุลจางหรือไง ถึงต้องส่งเสียงร้องอ้าๆๆแบบนี้!










สาระวันนี้ที่ผม เถ้าแก่สาม ภูมิใจนำเสนอ



มวยปล้ำกับผีผ้าห่มจางฉี่หลิง ผลาญพลังงานส่วนเกินได้ผลดีกว่าไอ้Squatนั่นร้อยเท่า



แต่ขาฉันยังไม่หาย ก็ต้องมาสะโพกครากอีกเหรอวะ!



ถ้าต้องลดน้ำหนักคราวหน้าผมขอปรึกษาเสี่ยวฮัวหรือซิ่วซิ่วแทน จะลุกนั่งหรือเล่นมวยปล้ำก็ไม่เอาอีกแล้ว!








Fin.





------------------------------


Talk


สำหรับใครที่ไม่รู้จักSquat ดูตรงนี้เลยค่ะ >>> https://www.youtube.com/watch?v=auy654Sr30o

เป็นการออกกำลังกายในท่าคล้ายๆนั่งเก้าอี้ลม ทำแล้วขาจะแข็งแรง หุ่นเฟริม แล้วก็ปวดขามากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกด้วยค่ะ!!!! ท่าดูเบสิคมากๆแต่เป็นการเกร็งขากับพยายามทรงตัวด้วยน้ำหนักตัวเองให้อยู่ หมัด แค่10-20นาทีดูเหมือนไม่นาน แต่ถ้ามือใหม่หัดเล่นล่ะก็ แค่ก้าวขึ้นเตียงก็ร้าวทั้งตัว ไม่ต้องพูดถึงขึ้นบันไดหรือก้มตัวเลย อยู่ท่าไหนก็ท่านั้น ลุกไม่ขึ้น อาการจะอยู่แบบนี้ราว2-3วันค่ะ Orz"""""" (ประสบการณ์ตรง)

ที่จริงเราแค่อยากให้เสี่ยวฮัวบีบพอนเดอริงอู๋เสีย แล้วเสี่ยวเกอก็มานวดๆให้เถ้าแก่สามแค่นั้นเอง...

[OS] สุดทาง (จางฉี่ซาน x อู๋เหลาโก่ว)




[OS] สุดทาง (จางฉี่ซาน x อู๋เหลาโก่ว)




By Fenrir












'เจ้าเกลียดข้าไหม'






'ไม่ได้เกลียด ข้าแค่ไม่เข้าใจว่าสุดท้ายแล้วท่านต้องการสิ่งใดกัน?'











กระแสน้ำพัดเชี่ยวกราก



ราชาสุนัขก้าวอย่างหมิ่นเหม่บนก้อนหิน ตะไคร่น้ำที่เกาะแน่นบนผิวศิลาทำให้ชายหนุ่มพลาดท่า แล้วลื่นหล่น



จางฉี่ซานยังคงนั่งอยู่ตรงนั้น จุดเดิมที่ร่างของอู๋เหลาโก่วตกลงมา



ดวงตาไร้ประกายที่เบิกกว้างคู่นั้นบ่งบอกถึงความไม่คาดฝัน มันเป็นอุบัติเหตุ เหตุที่อุบัติไปแล้วและไม่มีใครอยากให้เกิด



เลือด ชุ่มบนฝ่ามือของพ่อพระใหญ่จาง ขณะประคองศีรษะคนๆหนึ่ง โขดหินใต้ผืนน้ำตื้นเบื้องล่างน้ำตกมีอยู่มากมาย สาเหตุการตายของเจ้าบ้านสกุลอู๋นั้นมิต้องมีตาทิพย์ก็หยั่งรู้ได้



เก้าสกุลที่ยิ่งใหญ่ ฐานมนุษย์ทั้งเก้าที่กุมอำนาจและชื่อเสียง เป็นสัญลักษณ์ของความเกรียงไกรบนแผ่นดินจีน



บัดนี้เหลือเพียงแปด










'ท่านบอกให้ข้าลืมเรื่องนี้ไปให้หมด ข้าทำไม่ได้'





'เหลาโก่ว...'





'ที่ ท่านทำไปทั้งหมดนั้น ข้าไม่รู้ว่าท่านทำไปด้วยเหตุผลอะไร แต่หากนั่นคือสิ่งที่ท่านต้องการ นี่ก็คือสิ่งที่ข้าตัดสินใจแล้วเช่นกัน'





ใบหน้าอ่อนเยาว์ของเถ้าแก่หมาห้าไม่มีความลังเลอีกต่อไป





'ข้าจะตามท่านไปจนสุดทาง จนกว่าจะรู้เหตุผลของท่าน จนกว่าท่านจะให้อภัยตัวเอง








...จนกว่าท่านจะเข้าใจว่าอย่างน้อยยังมีคนๆหนึ่งที่จะไม่มีวันเกลียดท่าน'











ชายผู้เป็นเจ้าชะตาชีวิตแห่งสกุลจางกู่ร้องก้อง คลื่นความโศกเศร้าถาโถมรุนแรงประหนึ่งน้ำป่าไหลหลาก หากไร้ซึ่งสุ่มเสียงใดๆ






ผืนป่าแห่งนี้ถูกทิ้งไว้ในความเงียบงัน กับเสียงหวีดหวิวบาดหูของสายลม











------------------



Talk



จุดเริ่มมันมาจากที่เราฝันฉากนี้เมื่อหลายคืนก่อนหน้า แต่ในฝันไม่มีคำพูดอะไรเลย มีแต่ซีนมาเป็นฉากๆเหมือนหนังเงียบ ตื่นมาน้ำตาเต็มหมอน งื้อออออออออออออออออออ

ที่ขัดๆกับเนต้าที่มีแปลลงบอร์ดเต้ามู่ไว้คือ ตอนที่พ่อพระกับปู่อู๋จากกันน่าจะเป็นหน้าหนาว เพราะน้ำจับตัวแข็งเป็นน้ำแข็งเรียบร้อย แต่ในเรื่องเราดันเขียนให้มันยังมีน้ำตกที่น้ำไหลปกติอยู่ คิดซะว่าหลังจากปู่อู๋ตัดสินใจตามพ่อพระมาก็ผ่านจากตอนนั้นมาระยะหนึ่งจนน้ำแข็งละลายแล้วกันนะคะ แงงงงงงงงงงงงงงง

[OS] Postcard (อู๋อีฉยง)




[OS] Postcard (อู๋อีฉยง)



By Fenrir












อู๋อีฉยงได้รับโปสการ์ดใบที่สี่ของเดือนนี้แล้ว


เมื่อ เขาเปิดกล่องจดหมาย นอกจากบิลค่าน้ำค่าไฟ จดหมายทั่วๆไปกับใบปลิวโฆษณานิดๆหน่อยที่มีคนมายัดไว้ ยังมีรูปพิมพ์วิวทิวทัศน์สีสวยสดอัดบนกระดาษแข็งแผ่นหนึ่งที่สอดอยู่ลึกๆ ด้านใน


ตัวอักษรจีนเขียนด้วยลายมือคุ้นตาที่มุมล่างของโปสการ์ดในมือทำให้เตี่ยหนึ่งของบ้านสกุลอู๋แย้มยิ้มกว้างตั้งแต่เช้า




“ที่นี่อากาศดีมาก ไม่ต้องเป็นห่วงผม รอของฝากที่บ้านได้เลยครับ


เสี่ยวเสีย”










ช่วงนี้อู๋เสียอยู่ในช่วงพักร้อน ลูกของเขาออกเดินทางท่องเที่ยวไปทั่วแผ่นดินจีนเหมือนชดเชยเวลาที่ทำงานหนัก และผจญกับอะไรต่อมิอะไรมานาน เขาได้แต่ยินดีกับลูกชาย คนเป็นพ่อเป็นแม่ย่อมดีใจอยู่แล้วเมื่อลูกตัวเองมีความสุข


แบบนี้ดีเหมือนกัน คิ้วที่ขมวดอยู่นั่นจะได้หัดคลายลงเสียบ้าง เขาอดกังวลไม่ได้ทุกทีเมื่อมองอู๋เสียในหลายปีที่ผ่านมา แต่หลังจากเมื่อครึ่งปีก่อนทุกอย่างเปลี่ยนไปในทิศทางที่ดีขึ้น จึงเคลียร์ตัวเองให้มาพักผ่อนได้ชั่วคราวตามคำแนะนำของเขา ถึงตอนนี้ก็น่าจะครบสองเดือนแล้ว


ปกติโปสการ์ดของอู๋เสียจะส่งมา ทุกอาทิตย์ อาจมีล่าช้าบ้างเล็กน้อยสองสามวันแต่ก็ส่งมาสม่ำเสมอมิได้ขาด หากไม่มีอะไรผิดพลาดวันนี้น่าจะมีโปสการ์ดใบใหม่ส่งมาแล้ว...


อู๋อีฉยงลุกขึ้นจากที่นอน ล้างหน้าล้างตาให้สดชื่นแจ่มใส รับคำภรรยาที่ส่งเสียงมาจากในครัวว่าให้รีบออกไปรีบกลับเข้ามาก่อนอาหารบน โต๊ะจะเย็น


ชายวัยกลางคนผมแซมสีขาวล้วงมือเข้าไปในกล่องจดหมาย ด้วยท่าทีกระตือรือร้น ดึงแผ่นกระดาษขนาดราวฝ่ามือออกมาพลิกดู คราวนี้เป็นภาพมุมสูง เทือกเขาเรียงตัวโอบล้อมทะเลสาปกว้างใหญ่สีน้ำเงินลึกล้ำ จากมุมนี้ก็รู้สึกได้ถึงพลังอันยิ่งใหญ่และความงดงามของธรรมชาติที่ยากจะ เทียบเคียง หากเขาได้ไปยืนอยู่ตรงนั้น คงตื่นตะลึงจนแทบลืมหายใจ


ทว่าหนนี้ที่อยู่ในมือเขาไม่ใช่โปสการ์ดที่หาซื้อได้ทั่วไปเหมือนครั้งก่อนๆ มันเป็นรูปถ่าย มีอู๋เสียยืนอยู่ตรงกลาง ส่งยิ้มอย่างดูออกว่ายังสงวนท่าทีไว้บ้างตามวิสัยของเถ้าแก่สามที่ทำอย่างไร ก็สลัดออกได้ไม่หมด หากพ่อคนอย่างเขาย่อมดูออกว่าเสี่ยวเสียในตอนนี้มีความสุขมากแค่ไหน


ไม่ ได้มีแค่อู๋เสียที่ยืนอยู่ในรูปใบนี้ ดวงตาฝ้าฟางตามอายุหันมาพิจารณาชายในเสื้อฮู้ดสีน้ำเงินที่ยืนอยู่ข้างๆ เจ้าตัวแสดงสีหน้าราบเรียบคล้ายไม่ยินดียินร้ายกับสิ่งรอบตัวผิดกับลูกชาย ของเขาโดยสิ้นเชิง


มือของทั้งคู่จับจูงกันอยู่ตรงกลาง แม้ยืนใกล้จนไหล่แทบชนกันแต่อู๋อีฉยงก็เห็น ช่องว่างแคบๆระหว่างคนสองคนในรูปถ่ายไม่อาจหลอกสายตาแหลมคมของเขาได้


อู๋อีฉยงยิ้มอ่อน ก่อนเดินเข้าบ้าน เอ่ยปากกับผู้เป็นภรรยาให้ช่วยหาบางสิ่งบางอย่างให้เขา


ธรรมดา แล้วเขาจะติดต่อกับอู๋เสียผ่านทางโทรศัพท์ ไถ่ถามสารทุกข์สุกดิบเล็กๆน้อยๆแล้วอวยพรให้ดูแลตัวเองดีๆ แต่ดูท่าคราวนี้ลูกชายเขาจะยังอยู่ที่ฉางไป๋ซานอีกนาน เขาจึงหยิบกล้องถ่ายรูปขึ้นมาถ่ายตัวเขาเองกับภรรยา เดินไปให้ร้านใกล้บ้านปริ้นท์ออกมาเสร็จก็รับรูปกลับมาพลิกไปด้านหลัง ถอดฝาปากกาเมจิกออกแล้วจรดแต่ละตัวอักษรลงไปด้วยลายมือเป็นระเบียบ






“พ่อกับแม่ดีใจที่ลูกสนุกดี



แต่กลับมาแล้วอย่าลืมแต่งเข้าบ้านให้ถูกต้องตามประเพณีนะลูก



ป๊าเอง”

[OS] อดีต (ผิงเสีย)





[OS] อดีต (ผิงเสีย)





By Fenrir















ผมมีหลายร้อยหลายพันเรื่องที่อยากเล่าให้เขาฟัง


สิบปีที่เขาหายไปผมทำอะไรบ้าง พบคนแบบไหนมา ผ่านการฝึกฝนสุดโหดของเฮยเสียจื่อมาได้ยังไง ลงดินไปมากมายเท่าไหร่ ขึ้นเหนือล่องใต้จนกวาดรวบและขยายเขตอิทธิพลของอาสามไปขนาดไหน จนถึงวันที่ผมและทุกคนเคลื่อนขบวนไปหยุดหน้าประตูที่สลักอยู่ในความทรงจำผม มานานแสนนาน ผมอยากให้เขาได้รู้ทั้งหมด


หากมีอยู่เรื่องเดียวที่ผมอยากถาม






“จางฉี่หลิง นายเคยชอบฉันบ้างไหม?”



เมินโหยวผิงหันกลับมา มองผม ดวงตาของเขากระจ่างราบเรียบเหมือนผิวน้ำในแอ่งหลังหมดฝนโปรย



“...ฉันเคยชอบนาย”





ผมเบิกตากว้างเหมือนตัวตลก คำตอบของเขาอยู่เหนือความคาดหมายไปมาก ผมเคยนึกจินตนาการนับครั้งไม่ถ้วนว่าเมินโหยวผิงจะมีปฏิกริยาอย่างไรกับคำ ถามเช่นนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเจ้าของคำถามนั้นเป็นผม


เขาอาจนึกไม่ถึง ไม่รู้สึกอะไร เมินเฉยเหมือนผมไม่ได้อยู่ตรงนั้น เดินหนีไปดื้อๆ หรือทำท่าทำทางเหมือนคำถามของผมช่างไร้สาระกระทั่งไม่ควรหลุดมาจากปาก เถ้าแก่สาม


แต่ผมไม่เคยคิดถึงความเป็นไปได้ว่าคำตอบจะออกมาในรูปนี้ ทุกอย่างในหัวขาวโพลนและว่างเปล่า ทำอะไรไม่ได้ คิดอะไรไม่ออก


ผมหลุบตา ปล่อยให้เสียงของเมินโหยวผิงค่อยๆซึมซับเข้ามาในหัว สวนทางกับความเจ็บปวดที่เริ่มซึมผ่านปากแผลเก่าจากวันวานที่เคยไร้เดียงสา ของผม


หนึ่งคำถามที่คาอยู่ในใจมานานนับหลายปี บัดนี้ผมได้คำตอบจากปากเมินโหยวผิงแล้ว แต่ก็อดไม่ได้ที่จะต้องกลั้นใจกดความรู้สึกตีบตันบางอย่างที่จุกในลำคอ มองภาพคนที่ผมลงทุนลงแรงพากลับมาจากฉางไป๋ซานกำลังยกเป้สัมภาระใบใหญ่ขึ้น สะพายหลัง ตั้งท่าจะเดินออกไป


เมื่อก่อนเขาคงเห็นผมเป็นแค่เพื่อนคนหนึ่งที่ผ่านเข้ามาในชีวิตช่วงหนึ่งของเขา เป็นคนที่พานพบและเข้ามาเกี่ยวโยงกันเพียงชั่วคราวเพื่อบรรลุบางอย่างและ จากลากันเมื่อถึงเวลา


หากตอนนี้ผมไม่รู้แล้วว่าสำหรับเขา สิบปีที่ผ่านมานี้ ผมเป็นอะไร


...คนที่เขาเคยชอบ...จะมีความหมายอื่นใดไปได้อีกนอกจากว่าจะไม่สลักสำคัญแล้ว


หรือร้ายที่สุดเท่าที่ผมคิดออก เขาเกลียดผม ซึ่งนั่นแย่ยิ่งกว่าการปฏิเสธตรงๆอีก


หางตาผมร้อนผ่าวเหมือนจะร้องไห้ นี่ผมกำลังหวังอะไรจากสิ่งที่ไม่มีทางเป็นไปได้อยู่กัน แต่ลึกๆใจผมก็ไม่อยากให้เมินโหยวผิงลำบากใจไปมากกว่านี้


เมื่อเรากลับมาพบกันอีกครั้ง ผมเผชิญหน้ากับเขาพร้อมความตั้งมั่นที่จะบอกกับเมินโหยวผิง ต่อให้ไม่ฟังผมก็จะบังคับ


ให้เขายอมรับ ให้ยอมคิดคล้อยตามผมสักครั้งว่า “ชีวิตนี้เป็นของนาย”


นี่เป็นปณิธานที่ผมอยากมอบให้เขา มันอาจเป็นความดื้อดึง เป็นหนึ่งในไม่กี่อย่างที่เหลือรอดมาถึงตัวผมในวันนี้ จะป้อนมันซ้ำๆจนจำสลักลงไปในหัว ให้มันเป็นคำสาปที่ต่อให้โรคสูบวิญญาณจากสายเลือดตระกูลจางก็ลบล้างหรือทำ อะไรคำพูดผมไม่ได้ เมินโหยวผิงควรเป็นอิสระเสียทีจากสิ่งที่ตระกูลและคนรุ่นก่อนขีดเส้นวางชะตา ให้เดิน ผมต้องการให้เขาพึงจดจำอยู่เสมอว่าโลกนี้ไม่ใช่สิ่งแปลกหน้าเลย ตราบใดที่เขามองชีวิตตัวเองเป็นสิ่งที่เขาเท่านั้นกำหนดได้


และนับตั้งแต่วินาทีที่พวกเราพาตัวเมินโหยวผิงออกมาจากประตูสำริด ในสายตาของเถ้าแก่สาม ภาระหน้าที่ทั้งหมดในฐานะจางฉี่หลิงได้สูญหายไปกับสิบปีแห่งความทรมานทั้ง เขาและผมจนหมดสิ้น


ไม่เหลือปลอกคอจากอดีตล่ามเราไว้อีกแล้ว มีแต่ปัจจุบันและอนาคตที่ต้องก้าวไปหา


‘ไม่ว่านายอยากไปไหน อยากทำอะไร นายเลือกได้เองแล้วนะ’


ผมเคยเอ่ย เห็นได้ชัดว่าเขาฟังอยู่ แต่ไม่ได้พูดอะไร


‘แต่ถ้ายังคิดไม่ออกว่าจะทำอะไรต่อ นายมาอยู่กับฉันก่อนก็ได้ จะอยู่นานเท่าไหร่ก็ได้ก็แล้วแต่นาย ถ้าขาดเหลืออะไรก็บอก’


เขาควรจะได้พัก มีบ้าน มีชีวิตที่สุขสงบเหมือนคนทั่วๆไป ไม่ต้องเสี่ยงอันตรายในกรวย ไม่ข้องแวะกับอาณาจักรคนตายอีก หรือกระทั่งมีครอบครัว...


พอเขามีท่าทียอมรับในอิสรภาพที่ผมเฝ้า กรอกหูเขาทุกวัน ต้องการออกเดินทางตามใจปรารถนา เป็นผมซะเองที่กำลังจะกลายเป็นตัวถ่วงชีวิตใหม่ของเมินโหยวผิง


ผมอยากรั้งเขาไว้ บอกเขาดังๆ กลบทับความตั้งใจใดๆในหัวเขาให้มิด



อยู่ที่นี่...



อยู่ที่หังโจว...



อยู่กับฉัน...



ให้โอกาสฉัน เพื่อซื้อเวลาจากนายอีกสักนิด



นี่ผมกำลังจะกลืนน้ำลายตัวเอง เป็นผู้ล่ามโซ่เส้นใหม่ต่อจากบรรพบุรุษของเขากับมือน่ะหรือ?


ทั้งที่เขาทำเพื่อผมมามาก เสี่ยงตายช่วยผมออกมา เสียสละชีวิตสิบปีเฝ้าหลังประตูเพื่อปกป้องความไร้เดียงสาของผม


นี่ผมจะโลภมากไปถึงเมื่อไหร่ จะเห็นแก่ตัวร้องขออะไรจากเขาได้อีก


หรือท้ายที่สุดแล้วผมจะกลายเป็นเพียงอดีต เป็นเสี้ยวความทรงจำหนึ่งในล้านที่มีอยู่มากมายในตัวเมินโหยวผิง รอวันที่เขาจะกลับไปลืมเลือนหรือละทิ้งไว้เบื้องหลัง





“อู๋เสีย”



มือของเมินโหยวผิงยกขึ้นสัมผัสแก้มของผม น้ำตาไหลตั้งแต่เมื่อไหร่นั้นผมไม่ทันได้รู้ตัว


ผมเงยหน้าขึ้น เสี่ยวเกออยู่ในชุดพร้อมออกเดินทาง โลกภายนอกและหนึ่งวงแขนโอบของผมห่างกันเพียงระยะราวห้าเมตรก่อนถึงบานประตู


ถ้าจะไป แล้วนายหยุดทำไม


นายควรรีบ ก่อนที่ฉันจะห้ามตัวเองไม่ไหว





“ฉันเคยชอบนาย”





ผมแทบร้อง หน้าชา เย็นวาบไปถึงไขสันหลัง


เมินโหยวผิง หัวจิตหัวใจนายมันทำด้วยอะไร!


นี่นายกะจะตัดรอนกันถาวรถึงขนาดย้ำความรู้สึกของนายให้ฉันฟังเชียวหรือ





“นั่นเป็นเรื่องในอดีต ฉันกลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้”





เขาละมือจากใบหน้าของผม ภาพตรงหน้าพร่ามัวจากการร้องไห้ไม่น้อย


น้ำตาอาจทำให้ผมปฏิเสธได้ว่าเมินโหยวผิงไม่ได้ยกยิ้มที่มุมปาก






“ฉันรักนาย”






แต่มันไม่ใช่ข้ออ้างที่ผมจะหลอกตัวเองว่าหูฟาดอย่างแน่นอน












หลังนิ่งค้างอยู่หลายวิ ผมพลันได้สติ รีบคว้าไหล่เขาไว้ก่อนเจ้าตัวจะหันหลังเดินออกไป


ให้ตายยังไงผมก็ต้องคุยกับเขาให้รู้เรื่องก่อน อย่ามาโยนระเบิดทิ้งแล้วจากไปง่ายๆสิวะไอ้เรือพ่วงนี่!


หลังกึ่งลากกึ่งส่งสายตาข่มขู่แบบที่ลูกน้องเถ้าแก่สามได้เห็นบ่อยๆให้มานั่งดื่มชา คุยที่โต๊ะกลมกลางร้านให้เป็นเรื่องเป็นราวก็ได้ความกระจ่าง


เมิน โหยวผิงตั้งใจออกเดินทางก็จริง แต่ไม่ใช่การไปแล้วไปลับ ไม่ใช่ความตั้งใจตัดขาดจากโลกโดยสิ้นเชิงเหมือนครั้งสิบปีก่อนที่เขามาลาผม หรือนายอ้วนก่อนไปฉางไป๋ซาน


ครั้งนี้เขามีเป้าหมายใหม่ที่เขา ต้องไปทำ เป้าหมายของตัวเอง เมินโหยวผิงบอกว่าเขาต้องไปเอาของบางอย่างออกมาจากสุสานและอีกหลายที่ เพื่อที่จะเริ่มต้นชีวิตใหม่อย่างที่ผมต้องการ


“ที่นายต้องการตะหาก” ผมแก้ “ว่าแต่ของที่นายว่ามันจำเป็นขนาดนั้นเลยหรือ งั้นให้พวกฉันเดินทางไปด้วยน่าจะดีกว่า นายอ้วนก็ไม่น่าจะมีปัญหาด้วย ลงกรวยไปถ้ามีแต่คนคุ้นเคยที่มีฝีมือจะได้ทำงานง่ายขึ้น”


เขาส่ายหน้า “งานนี้มีแต่ฉันคนเดียวที่ทำได้ คนอื่นมาก็ไม่มีประโยชน์”


เอ๊ะ ไอ้นี่ ฟังแล้วชักแปลกๆ นี่เมินโหยวผิงหมายถึงผมหรือเปล่าวะ?


ถ้าเป็นตัวผมในอดีตคงของขึ้นลุกชี้หน้าเสี่ยวเกอไปแล้ว อย่าคิดว่าบอกรักกันเมื่อกี้แล้วจะมาพูดอะไรลบหลู่เถ้าแก่สามได้นะ


ต่อให้อีกฝ่ายเป็นจางฉี่หลิง ผมก็มั่นใจว่าตัวเองมีฝีมืออยู่พอตัวแล้ว ขบวนที่ไปพาตัวกลับกลับมาจากฉางไป๋ซานก็มีผมเป็นผู้นำเอง ถ้าไม่มีน้ำยาคงไม่รอดมานั่งหน้ามึนอยู่แบบนี้หรอก


“แล้วของที่ ท่านใต้เท้าจางฉี่หลิงต้องการนักต้องการหนามันอะไรกันล่ะขอรับ ข้าน้อยเถ้าแก่สามผู้ต่ำต้อยไร้ประโยชน์ใคร่ขอความกระจ่างจากใต้เท้าได้บ้าง หรือไม่”


เมินโหยวผิงวางถ้วยชาลง


“ฉันจะไปหาแหวน”


“แหวน? พวกสมบัติเครื่องประดับในสุสานน่ะเหรอ” ผมขมวดคิ้ว ลงกรวยด้วยกันมานาน ไม่เห็นเลยว่าเสี่ยวเกอกลายเป็นคนนิยมทรัพย์สินเงินทองของสวยงามไปตั้งแต่ เมื่อไหร่?


“ในโลงของจางฉี่หลิงรุ่นก่อน มีดาบทองคำดำและแหวนอีกสองวงที่ฝั่งร่วมไปด้วย”


ผมเข้าใจในทันทีว่าเมินโหยวผิงพูดถึงอะไร ตอนที่ผมกับนายอ้วนไปช่วยเสี่ยวเกอที่ติดอยู่ในหอบ้านสกุลจาง เราพบกับโลงของ ‘จางฉี่หลิง’ นอกจากร่องรอยการฝังทรัพย์สมบัติคู่กายร่วมลงไปอย่างดาบของเมินโหยวผิง ก็ยังมีวัตถุปริศนา ซึ่งเดาจากรูปร่างก็น่าจะเป็นแหวนตามที่เขาบอกจริง


“มันเป็นแหวนหยกคู่ สืบทอดกันมาในสกุลจาง คนที่มีกรรมสิทธิ์ในแหวนคู่นั้นมีเพียงผู้ที่ได้รับเลือกให้เป็นเจ้าบ้านเท่านั้น”


...ซึ่งก็คือคนตรงหน้าผม เมินโหยวผิง จางฉี่หลิง เสี่ยวเกอของเรา... ผมคิดตาม เขาอธิบายต่อไป


“ผู้ นำสกุลจะถือครองแหวนไว้ทั้งสองวง และจะต้องมอบแหวนวงหนึ่งนั้นให้กับคู่ครองเมื่อแต่งงาน ถือเป็นธรรมเนียมปฏิบัติจากอดีตที่ลบล้างไม่ได้ เมื่อผู้ถือครองแหวนหยกสิ้นอายุขัย ผู้ที่จะนำแหวนคู่ออกมาจากนิ้วมือของพวกเขาได้ มีเพียงจางฉี่หลิงคนต่อมา”


เขาผินหน้า มองท้องฟ้าผ่านช่องหน้าต่างบานใหญ่ที่เปิดอ้ารับลม


“ฉันจะไปนำแหวนหยกคู่กลับมา”


ความเงียบโรยตัวลงระหว่างผมกับเสี่ยวเกอ ใต้หน้าฉากที่ไร้อารมณ์ผมเห็นความเด็ดเดี่ยวในดวงตาคู่นั้น


ผมคิดว่าผมควรพูดอะไรสักอย่าง ถ้าไม่ใช่เพราะประโยคถัดมา


“แล้วกลับมาสวมให้นาย นายเองก็ต้องสวมให้ฉันด้วยเหมือนกัน”


เสียง ของเมินโหยวผิงราบเรียบเหมือนพูดเรื่องดินฟ้าอากาศเหมาะสมยามลงกรวย แต่หูของผมกลับได้ยินเพียงจังหวะกลองรัวรบในอกที่ดังชัดเจนยิ่งกว่าอะไรทั้ง หมด


ผมกลั้นหายใจ ตอนนั้นเองเขาหันกลับมา เอื้อมมือทาบทับลงบนมือของผม อุณหภูมิอุ่นๆผ่านผิวกระเบื้องเคลือบของถ้วยชาเทียบกับความร้อนที่พุ่งพล่าน ผ่านสัมผัสแผ่วจางจากปลายนิ้วเขาบนผิวหนังไม่ได้แม้แต่นิด!


“หากนายว่าต้องการแบบนั้น อู๋เสีย”


จาง ฉี่หลิงวรยุทธ์ช่างร้ายกาจ! ด้วยคำพูดแค่ไม่กี่คำพลันทวีความร้อนจากมือแล่นปราดทะลุปรอทไปถึงใบหน้า หัวเหอผมเห่อร้อนระส่ำระส่ายคล้ายกำลังมีไข้


ผมแม่งรู้สึกเหมือน โดนเอาคืนจากคำถามที่ผมถามเขาไปในตอนแรก แล้วไอ้ประโยคบอกเล่าที่ทำให้คนฟังอย่างผมรู้สึกเหมือนโดนลองใจทั้งๆที่คำ ตอบนั้นก็รู้ๆกันดีมันอะไรกันหาไอ้บ้าเมินโหยวผิง


ไอ้คนขี้โกง!












“นายจะกลับมาจริงๆใช่ไหม” สีหน้าของผมคงไม่สู้ดีนัก เมื่อเขาพยักหน้าและสบตาผม คล้ายกับความกังวลที่ถ่วงอึ้งในตัวผ่อนกำลังลง


ผมถอนหายใจ ผมถือว่านั่นเป็นคำยืนยันจากคนปากหนักที่เครดิตดี เชื่อถือได้แล้วกัน


เมินโหยวผิงอยู่ในเสื้อฮู้ดตัวเก่งพร้อมข้าวของอุปกรณ์มากมาย เป็นภาพชินตาที่ผมจำได้ขึ้นใจทุกครั้งที่เขากำลังจะจากไป ทั้งคราวที่เขาเดินออกจากโรงพยาบาลไปเสียเฉยๆ หรือหันหลังให้ผมหลังการร่ำลาที่หังโจว


แต่ครั้งนี้มีสิ่งที่ต่างออกไป...


“หนึ่งสัญญา แลกกับหนึ่งชีวิตใหม่”


วงแขนกว้างที่แข็งแกร่งกว่าตาเห็นโอบผมเข้ามาจนเอนปะทะเข้ากับร่างของเขา ช่างรวดเร็วและเงียบเชียบสมเป็นยอดฝีมือ


“นายอยู่รอฉันที่นี่ อู๋เสีย”


ถ้าไม่รอแล้วฉันจะทำอะไรได้มากกว่านี้อีก? ผมได้แต่ตัดพ้อในใจ แต่แววตาที่หาได้ยากจากเมินโหยวผิงนั้นคงสะท้อนบางอย่างที่ทั้งผมและเขาต่าง ตกลงกันภายใต้ความเงียบพร้อมเพรียงกัน


ผมยืนส่งเขาที่หน้าประตู มองแผ่นหลังกว้างที่ถูกกระเป๋าสัมภาระใบโตบังจนเกือบมิด กลิ่นชาอ่อนๆที่เราสองคนดื่มยังกรุ่นกำจาย อบอวลด้วยกลุ่นอายความรู้สึกที่ทั้งแปลกหน้าและคุ้นเคยในเวลาเดียวกัน




สำหรับเขา นี่อาจเป็นการเดินทางไกลเพื่อเป้าหมายของตัวเองครั้งแรก




สำหรับผม นี่อาจเป็นการยินยอมปล่อยมือให้เขาเดินจากไปครั้งแรก




อดีตนั้นมันจบไปแล้ว ไม่ว่าเขาหรือผมก็ย้อนกลับไปแก้มันใหม่ให้เป็นดังใจไม่ได้อีก




เหลือแต่การเดินทางบทใหม่ของปัจจุบัน ในคราวนี้ทั้งเขาและผม เราจะเริ่มต้นออกเดินทางไกล ก้าวไปสู่จุดหมายปลายทางด้วยกัน




ไม่ว่าสุดสายเส้นทางอนาคตนั่นจะมีอะไรรอคอยอยู่




ขอเพียงมือคู่นี้ต่างเติมเต็มช่องว่างกันและกันด้วยมือของอีกฝ่าย






ผมไม่หวั่นเกรงหรือลังเลอะไรอีกแล้ว



[OS] แมวเลี้ยง (ผิงเสีย)


 

[OS] แมวเลี้ยง (ผิงเสีย)




By Fenrir








ลูกน้องผมคนหนึ่งเปรยกับผม... เขาร่ำลือกันหนาหูในฉางซาว่าเถ้าแก่อู๋เลี้ยงเสือดำตัวหนึ่งไว้ข้างกาย

พอได้ยินแบบนั้นครั้งแรกผมเกือบหลุดขำ ต้องตีสีหน้าเรียบติดรำคาญว่าไอ้บ้าหน้าไหนมันเที่ยวเอาเวลาไปปล่อยข่าวไร้ สาระแบบนี้แทนที่จะทำงาน

ผมไม่ได้ปฏิเสธสิ่งที่ลูกน้องคนนั้นเล่าให้ ผมฟัง คนที่ทำงานด้วยที่หังโจวหรือใกล้ชิดผมก็น่าจะรู้เห็นทุกอย่างหรือระแคะระคาย มาบ้างว่าข่าวนี้มีมูล แต่ที่ลือกันก็ไม่ถูกต้องนัก เพราะที่เถ้าแก่อู๋เลี้ยงไว้จริงๆน่ะ...

ดวงตาสีเหลืองเป็นประกายวูบวาบจ้องมาทีผม ผมเริ่มได้ใจโบกไม้ในมือซ้ายขวาเป็นจังหวะดังฟับๆๆ ขยับผ่อนหนักผ่อนเบาบ้างเพื่อหลอกล่อ

“เมี้ยวๆๆ มานี่เร็ว มี้ๆ โธ่เอ๊ย เสี่ยวเกอ มาช่วยฉันตรงนี้ที”

“...”

ดวงตาราบเรียบสบมองแล้วเบือนหนี

...มันแมวจอมยุ่งสองตัวชัดๆ!







คืนนั้นผมแค่ทนนิ่งดูดายไม่ได้ตอนที่เห็นเจ้าตัวเล็กนี่หลบฝนอยู่ในกองขยะ มองไปรอบๆก็เห็นนั่งสั่นอยู่เดียวดาย ข้างๆเป็นกล่องกระดาษเปียกๆ มีร่างลูกแมวขนาดใกล้เคียงกันนอนกองๆอยู่สองสามตัว ไม่ขยับ ไม่ร้อง ไม่หายใจ

พลันสบตากันเข้า รู้สึกเหมือนเดจาวูกับอะไรบางอย่าง สุดท้ายเลยจับตัวกลับมาบ้าน ทั้งที่เหนื่อยจากการเดินทางแต่ผมก็จัดการเช็ดขี้ตาล้างเนื้อล้างตัวเจ้า ก้อนขนกลมๆด้วยผ้าขนหนูให้สะอาด ดึกป่านนี้ร้านสัตว์เลี้ยงน่าจะปิดกันหมดแล้ว การส่งผู้ชายใส่สูทตัวโตๆหน้าโหดๆไปยืนเคาะประตูรัวปังๆเพื่อซื้อของออกจะ โหดร้ายกับเจ้าของร้านไปสักหน่อย เลยใช้ให้ลูกน้องไปซื้อนมแพะที่ร้านสะดวกซื้อมาแทน

ผมอยู่ในครัวกับ ลูกแมวสีขาวหม่นที่ส่งเสียงจามเล็กๆเหมือนไม่มีแรงข้างๆเท้า พยายามแกะฝาอยู่นานแต่บิดยังไงก็คลายเกลียวไม่ได้สักที ผมว่าผมแข็งแรงขึ้นจากเทียนเจินอู๋เสียคนเก่าเมื่อสิบปีที่แล้วแล้วนะ แค่ฝาขวดนมพลาสติกธรรมดาๆทำไมถึงเถ้าแก่อู๋ถึงเปิดไม่ได้วะ! โรงงานแม่งกะผลิตแล้วปิดตายไม่ต้องให้ลูกค้าได้กินรึไงกัน!

จังหวะนั้นเอง ผมรู้สึกได้ถึงความเคลื่อนไหว เมินโหยวผิงยืนพิงกรอบประตู มองผมเงียบๆ นึกขึ้นได้ว่าผมลืมโทรบอกเขาว่างานคราวนี้ติดพันนานกว่าที่คิดไว้ คงจะกลับมากินข้าวเย็นด้วยไม่ได้ ไม่ต้องเดาผมก็รู้ว่าเขาต้องรอ ถ้าไม่ได้กินข้าวด้วยกันอย่างน้อยก็ต้องเห็นกับตาว่าผมกลับมาแล้ว พฤติกรรมของเสี่ยวเกอหลังออกมาจากประตูสำริดยืนยันกับผมว่าต่อให้คืนนี้ผม ไม่ได้กลับมาบ้านจริงๆเขาก็จะนั่งรอแบบข้ามคืน ผมกลับมาบ้านได้สักพักหนึ่งแล้ว ที่เขาลงมาคงเป็นเพราะผมไม่ยอมขึ้นไปข้างบนเสียที

“มาพอดีเลย” ผมจ้ำไปหา “นี่ เปิดนี่ให้หน่อยสิ”

เมินโหยวผิงดูขวดในมือผม แล้วมองต่ำลงไปอีก ได้ยินเสียงประกายไฟแล่บเปรี๊ยะๆระหว่างขาของผมกับสายตาของเสี่ยวเกอ ผมไม่ได้หูฝาดไปเองแน่ๆ! พอโดนจ้องมากๆเข้า ลูกแมวก็ขู่ฟอดหางตั้ง วิ่งโซซัดโซเซไปหลบข้างหลังตู้

เขาก็หันกลับมา คว้าขวดนมในมือผมมากดฝ่ามือลงบนฝาแล้วบิดดังก๊อก! นี่ต้องกดฝาก่อนหรอกเหรอ! ฉลากแม่งไม่เห็นบอกอะไรเลย!

“นายจะเลี้ยงไว้?”

ผม ส่ายหน้า “เปล่าๆ ฉันแค่รู้สึกว่าปล่อยไว้ตากฝนแบบนั้นไม่ได้” ทีเหลือคงให้ลูกน้องจัดการเอาตัวไป ผมมีภาระของเถ้าแก่อู๋มากพออยู่แล้ว คงจะเก็บอะไรมาเลี้ยงไม่ได้ ทรมานสัตว์เปล่าๆ

“อย่าเปลี่ยนใจ...”

ผมเงยหน้าขึ้นมากะจะถามว่าทำไม แต่เสี่ยวเกอก็หายไปแล้ว

ผมวางจานนมไว้ใกล้ๆตู้ ดูลูกแมวที่ค่อยๆคลานออกมาสวาปามนมอย่างตายอดตายอยาก กระทั่งนมหยดสุดท้ายเกลี้ยง ผมจึงเอื้อมมือจะหยิบจานไปล้าง

มันอาศัย จังหวะนั้นทำตาปรือเอาหัวไถหลังมือ ผมรู้สึกจั๊กจี้เลยลองเอานิ้วเชี่ยๆใต้คางมันตอบ ก้อนขนสีขาวส่งเสียงครางครืดๆเหมือนมอเตอร์ ดวงตาใสสีดำคู่ใหญ่จับจ้องมาไม่แม้แต่จะกะพริบ

นั่นเป็นครั้งแรก ที่ผมได้เห็นดวงดาวนับล้านดวงส่องประกายระยิบระยับอยู่ตรงหน้าในระยะห่างไม่กี่เซน

โดยไม่ทันรู้ตัว ผมไล่มือไปตามเนื้อตัวของมันช้าๆ....







ถ้าใครเที่ยวลือว่าหลานราชาสุนัขอย่างอู๋เหลาโก่วตกเป็นทาสรองอุ้งตีน(ลูก)แมวนี่ล่ะก็ รู้ถึงไหนอายถึงนั่น!

แต่ ปู่คงไม่เก็บมาคิดเล็กคิดน้อยแล้วมาเข้าฝันผมเพราะเรื่องนี้หรอกมั้ง ก็นะ ผมไม่มีทางเป็นทาสแมวอะไรแบบนั้นสักหน่อย ต่อให้เจ้าเหมียวนี่ออกจะ....เฮ้ย!

เสียงแควกจากด้านหลังทำให้ผม สะดุ้งสุดตัว หันไปมองก็เจอกับเจ้าตัวแสบที่ผมพูดถึงอยู่กำลังประทุษร้ายกระดาษจารึกโบราณ ที่ว่างบนชั้นไม้กลางร้านอย่างสนุกสนาน นั่นไม่ใช่ของเล่นนะเว้ย! ผมรี่เข้าไปคีบหลังคอเจ้าตัวแสบออกมาทั้งๆที่เล็บยังกางค้างอยู่ ผลคือกระดาษที่เป็นริ้วเพิ่มขึ้นอีกหลายส่วน ชิบหาย

ผมรีหันซ้ายขวา ไปหยุดที่คนหน้าตายที่อีกฟากของห้อง

"เสี่ยว เกอ...." ผมส่งเสียงอ่อน ในมือมีลูกแมวที่ขยับแขนขาเป็นพัลวันจนดูตลก ไม่รู้จะจับวางไว้ตรงไหนดี สถานการณ์แบบนี้ถ้ามีนายอ้วนอยู่อาจจะขำก๊ากไปแล้ว แต่ผมกลับหัวเราะไม่ออก

เสี่ยวเกอกำลังงอนผม

ใช่ คุณอ่านไม่ผิดหรอก จางฉี่หลิงกำลังงอนผม เขาเป็นแบบนี้มาเกือบอาทิตย์แล้ว เอาแต่นั่งบนระเบียงมองออกไปเรื่อยเปื่อย(ซึ่งคงไม่ได้มีอะไรให้มองเป็น พิเศษหรอก หมอนี่แค่ไม่อยากมองในบ้านมากกว่า) พอทักพอชวนคุยอะไรก็ไม่มองไม่ตอบ ปกติแม่งก็เป็นพวกเงียบมีลับลมคมในอยู่แล้ว แต่คราวนี้นี่ถึงกับเมินกระทั่งเวลาที่ผมเอ่ยปากขอความช่วยเหลือ เจอไม้แข็งของเมินโหยวผิงแบบนี้เข้าผมก็ไปไม่เป็นเหมือนกัน

“มี้!”

ส่วน ต้นเหตุ...ใครจะไปรู้กัน เจ้าตัวเล็กที่ส่งเสียงแหลมๆตอนนี้หันมาเกาะขากางเกงผมแน่น ผมตั้งชื่อให้มันว่า ‘เสี่ยวไป๋’ (ขาวน้อย) หลังสินค้าเสียหายแถมวุ่นวายจนไม่เป็นอันทำงาน ผมอพยพพร้อมแมวหนึ่งตัวลงมาหาของกินล่อในห้องครัว โชคดีที่ยังพอเหลือนมแพะกับอาหารแมวอยู่สามสี่กระป๋อง

เสี่ยวไป๋หัน มาตะกุย งับๆนิ้วเท้าผมเล่นแทน ยิ่งได้กลิ่นอาหารยิ่งเล่นหนักคล้ายกับจะเร่ง “รู้แล้วว่าหิว นี่กำลังเตรียมให้แกอยู่ไง ไปนั่งรอดีๆตรงโน้นไป”

ผมคงลืมไปว่านี่ มันแมว ไม่ใช่หมา แถมยังเป็นลูกแมวอายุไม่กี่สัปดาห์ ขนาดลูกหมาของปู่ที่ภูมิใจ เอามาอวดเกินสามครั้งก่อนและหลังมื้ออาหารว่าฉลาดนักฉลาดหนา กับผมนี่ยังแทบไม่มีตัวไหนฟังเลย ยกเว้นตัวนึงที่ตอนปู่ได้มาใหม่ๆผมก็ว่าน่ารักดี (น่ารักกว่าซันชุนติงในหลายๆแง่) แต่ผมเลิกญาติดีกับมันไปหลังหมั่นเขี้ยวเคี้ยวหนังสือที่ยืมมาจากห้องสมุด โรงเรียนผมจนเปียกน้ำลายยับเยินทั้งกอง ผมต้องควักเงินแต๊ะเอียได้จากครอบครัวตอนปีใหม่มาชดใช้

แต่ถึงจะไม่ ได้ชอบหรือเกลียดหมาเป็นพิเศษ(จริงๆนะ!) ก็ใช่ว่าผมจะหันไปพิศวาสอะไรแมว ถึงขนาดต้องมาดูแลเองอะไรเอง ไม่ยอมให้ลูกน้องคนไหนกระทั่งหวังเหมิงมาทำให้ ที่ตั้งชื่อให้ก็เพราะจะได้เรียกสะดวกขึ้นเท่านั้น ระหว่างที่หาคนไปรับเสี่ยวไป๋ไปเลี้ยงเองไม่ได้ อย่างน้อยอยู่ภายใต้ร่มเงาของเถ้าแก่อู๋ก็ต้องอยู่ดีกินดีไม่ให้เสียชื่อไม่ ว่าจะแมวหรือคน ลูกน้องผมพวกนั้นมันมือหนัก แต่ละคนก็มีแต่เถื่อนๆเอาไว้ประจัญบานแบบลืมตายตอนลงกรวย ถ้าจะให้ใครดูแลก็ต้องเป็นผม (หวังเหมิงถูกผมใช้ให้ไปสืบข่าวคราวข้างนอกหลายวันก่อน ป่านนี้ยังไม่กลับ)

ที่จริงมีอีกคนที่น่าจะทำงานละเอียดละอ่อนแบบนี้ได้ แต่ว่า....



“นายเห็นเสี่ยวไป๋บ้างไหมเสี่ยวเกอ?”

“...”

“แฟ่!”




‘ฮัล โหลๆ ฉันเอง วานนายช่วยเช็ดตัวเสี่ยวไป๋ให้ที ฉันยังกลับไปไม่ได้—ไอ้พวกงี่เง่า!!! เรื่องแค่นี้คิดกันไม่เป็นหรือไงหา ทำงา—ตรู๊ด ตรู๊ด ตรู๊ด’

“...”

“แฟ่!”




“รอเดี๊ยวสิ ขอฉันเคลียร์บัญชีตรงนี้อีกนิด เสี่ยวเกอ นายให้ข้าวเสี่ยวไป๋หน่อยได้ไหม ไม่ต้องเยอะนะ แค่สามช้อนพูนพอ”

“...”

“งั่มๆๆๆๆ”

“...”

“แฟ่!”





“เสี่ยวไป๋ ฉันมีของมาฝาก! อ๊ะ เสี่ยวเกอ นายดูนี่สิ เสี่ยวฮัวไปญี่ปุ่น ซื้อขนมมาฝากตั้งเยอะแยะ มีนี่ให้เสี่ยวไป๋ด้วย”

“...”

“เมี้ยว! เมี้ยว!”

“...”

"เจ้านาย มีแขกมาฮะ"

"ฉันรู้แล้ว เดี๊ยวมานะเสี่ยวเกอ ดูเสี่ยวไป๋ให้แป๊บนึง"

"..."

"..."

"..."

“..........แฟ่!”




ไม่ กี่วันมานี้ แผ่นหลังของจางฉี่หลิงดูห่างเหินไม่เหมือนเคย เขาไม่สบตา ไม่พูดคุยกับผมนานแล้ว นอนร่วมห้องก็ยังขยับไปชิดขอบเตียง ถ้าเขยิบเข้าไปใกล้ก็พาลลุกขึ้นไปนอนข้างนอกไม่ปริปากสักคำ ทิ้งให้พวกผมนอนหนาวซุกตัวอยู่ในผ้าห่มกันสองคน

ผมลูบหัวเล็กๆสีดำขน ปุกปุยอย่างเพลินมือ เจ้านี้เวลาอยู่นิ่งๆค่อยน่ารักหน่อย ดวงตาสีดำหวานใสและเสียงครางครืดในลำคอทำให้รู้สึกผ่อนคลายจนเผลอยิ้ม แต่ลึกๆแล้วผมก็ยังสงสัย ไม่เข้าใจว่าจริงๆว่าเสี่ยวเกอไปกินอะไรผิดสำแดงมาถึงจงใจเลี่ยงผมแบบนี้

ตอน นี้ปล่อยให้อารมณ์เสี่ยวเกอเย็นลงก่อนแล้วกัน ไว้วันหลังผมจะลองถามๆเขาดู ส่วนเรื่องเสี่ยวไป๋ ถ้าไม่มีคนสนใจจริงๆล่ะก็น่าจะลำบาก คนส่วนมากชอบรับตัวอะไรต่อมิอะไรมาเลี้ยงตอนที่มันยังเล็กอยู่ ถ้าโตไปอีกหน่อยผมว่ามันน่าจะหาบ้านใหม่ลำบาก....

เอาเถอะ ยังไงผมก็เลี้ยง “แมว” อยู่แล้วตัวนึงนี่หน่า

จะเพิ่มเจ้าตัวเล็กมาอีกสักตัวคงไม่เกินกำลังรับมือผมเท่าไหร่มั้ง







ความคิดและจิตใจของมนุษย์เป็นสิ่งน่ากลัวที่สุด ยิ่งกว่าบ๊ะจ่าง กับดัก กลไก หรือภูตผีตนใดๆ

ตั้งแต่ จำความได้ เขาถูกสอนสั่งและผ่านการฝึกฝน ผจญอันตรายมานักต่อนัก ทุกวิกฤตินั้นจางฉี่หลิงสามารถฟันฟ่าและเอาตัวรอดได้หากตั้งมั่นในความสงบ รับมืออย่างมีสติและไร้หัวใจ เพื่อให้ภารกิจสำเร็จ เพื่อรักษาความลับของสกุลจาง

บัดนี้หน้าที่นั้นลุล่วงไปแล้ว ความหมายในการมีชีวิตอยู่ในฐานะตัวแทนแห่งสกุลจางอันตรธานหาย หลังสิ้นสิบปีที่เฝ้าประตูท่ามกลางความมืด นับหยดน้ำต่างนาฬิกานับถอยหลังมานานแสนนาน จางฉี่หลิงเหลือสัญญาเพียงหนึ่งที่ชี้ทางและมอบความหมายใหม่ให้มีชีวิตอยู่ ต่อ

จางฉี่หลิงเตือนตัวเองอยู่บ่อยครั้ง ...ต้องระวังความคิดตัวเองให้มาก หากตั้งใจจะใช้ชีวิตที่เหลือบนโลกใบนี้อีกครั้ง...

เมื่อสบดวงตาสีทองนั้นครั้งแรก เขาไม่อาจสลัดภาพเดรัจฉานสองตัวประจันหน้ากัน

หนึ่งคือเสือดำ อีกหนึ่งคือเสือขาว

สัตว์ ร้ายสองตัวเดินวนระแวดระวัง อวดเขี้ยว กางกรงเล็บ รอจังหวะโรมรัน มีอู๋เสียอยู่ตรงกลางเป็นตัวประกัน ยืนยิ้มไม่รู้เรื่องรู้ราวเหมือนกำลังนั่งดูคลิปสัตว์เลี้ยงที่หยอกล้อกัน แรงๆทางอินเตอร์เน็ต

เสียงลมหายใจเข้าออกสม่ำเสมอบอกจางฉี่หลิงให้ รู้ว่าอีกฝ่ายหลับไปแล้ว เขาค่อยพลิกตัวหันกลับมาอย่างเชื่องช้า ไม่ใช่ว่าเขาไม่มองอู๋เสีย แต่ทุกครั้งที่เขาทำอีกฝ่ายมักจะไม่สังเกต ส่วนที่รู้เห็นทุกอย่างก็ไม่พ้น...

ดาวสีเหลืองเป็นประกายโดดเด่น สองดวงบนใบหน้าขาวใต้เสี้ยวแสงไฟสลัวๆปรากฏแทนที่ใบหน้าของอู๋เสีย แววยิ้มเยาะประหลาดโลดแล่นระเริงฉายในดวงตาคู่นั้น แยกเขี้ยวโชว์ฟันขาว เปล่งเสียงคำรามต่ำๆลอดไรฟัน

"แฟ่...."

เทียนเจินอู๋เสียก็ ยังเป็นเทียนเจินอู๋เสียวันยังค่ำ เขาอาจมองเห็นอะไรหลายๆอย่างได้กระจ่างขึ้น แต่ก็ยังไม่ทะลุปรุโปร่งเท่า การมองคนอาจพัฒนาขึ้นมากอย่างน่าประทับใจแต่การมองข้ามรูปลักษณ์ที่ดูอ่อนแอ ไร้พิษภัยนั้นถือว่าสอบตกอยู่ดี

จางฉี่หลิงหรี่ตา โต้ตอบกลับไปด้วยภาษากายที่นักล่าล้วนรู้กันเอง




เสือสองตัวอยู่ถ้ำเดียวกันไม่ได้อย่างไร





เสี่ยวเกอกับเสี่ยวไป๋ย่อมอยู่ร่วมกันใต้ชายคาบ้านของเถ้าแก่อู๋ไม่ได้เหมือนกัน!

5/5/58

[OS] ของดูต่างหน้า (ผิงเสีย)




[OS] ของดูต่างหน้า (ผิงเสีย)




By Fenrir






[สปอยล์เล่ม10]













เสี่ยวเกอจากไปแล้ว

ความ จริงตอกย้ำในสมองหลายร้อยหลายพันครั้งจนชาหนึบด้วยความว่างเปล่าจวบจน แบกร่างจากฉางไป๋ซานกลับมายังร้านที่หังโจว ท่ามกลางสายตาสับสนระคนเป็นห่วงของลูกจ้างหกร้อยหยวนที่ถูกทิ้งให้อยู่เฝ้า ร้านมานานร่วมอาทิตย์ อู๋เสียทิ้งสัมภาระลงบนพื้น เอนกายพิงบานประตูห้องที่ปิดสนิท ไม่หลงเหลือความรู้สึกอื่นใดนอกจากหมดเรี่ยวแรงกับความพยายามที่ไร้ผลเมื่อ อยู่ต่อหน้าคนๆหนึ่งที่ห่างออกไปไกลแสนไกล



...อีกสิบปีข้างหน้าหากนายยังจำได้...



“สิบปี? หากฉันยังจำได้? พูดออกมาได้!”

ตึง!

กำ ปั่นหลุ่นๆกระแทกเข้ากับพื้นไม้จนแผ่นกระดานสั่นสะท้าน ใบหน้าเครียดขึงด้วงแรงอารมณ์ไม่ยี่หระต่อความชาที่อาบตั้งแต่ข้อนิ้วทุกข้อ ไล่ขึ้นมาก่อนแปรเปลี่ยนเป็นความเจ็บปวดแสนสาหัสที่แล่นปราดสู่สมอง เหงื่อเม็ดโตผุดพรายบนหน้าผาก

“คิดจะไปก็ไป คิดจะมาก็มา นายแม่งเห็นฉันเป็นอะไรวะเสี่ยวเกอ!”

ตึง! ตึง! ตึง! ตึง!

ชายหนุ่มเกร็งหมัดเปื้อนเลือด ทุบจุดเดิมซ้ำๆราวกับบนกระดานแผ่นนั้นคือใบหน้าของคนใบ้จาง

“ใครมันจะไปลืมเรื่องแบบนี้ได้ลง! ฉันไม่ใช่นายที่เข้าไปในอุกกาบาตนั่นแล้วออกมาเอ๋อจำอะไรไม่ได้นะเฟ้ย!”

ตึง! ตึง! ตึง! ตึง!

“จูบ กับศพ โดนผีแม่ย่าเกาะ เส้นผมพัน วิ่งหนีด้วง ตีกับบ๊ะจ๊าง โดนงูกัด ยิงคนด้วยกันเอง แต่ละเรื่องนี่อยากลืมให้ตายมันก็ลืมไม่ได้!”

ตึง! ตึง! ตึง!

“ยิ่งเป็นเรื่องของนาย”

ตึง!

“...แค่คิดว่าอยากจะลืม ฉันยังไม่เคยเลย”

หยาด เหงื่อล้อมกรอบใบหน้าแดงก่ำด้วยความรู้สึกหลากหลายไหลผ่านแก้มจรดปลายคาง ร่วงหล่นหยดลงเจือจางร่องรอยสีแดงสดส่งกลิ่นคาวเคลือบโลหะอบอวลในอากาศ

“หากนายยังจำได้ หากนายยังจำได้...ฉันต่างหากควรเป็นคนพูดคำนั้น ฉันที่ถูกนายทิ้งไว้ข้างหลังต่างหากที่มีสิทธิ์พูด”

สายฝนหลงฤดูโปรยปรายจากดวงตา แด่ลักขจรผีที่วางอย่างเงียบงันข้างตัวยามฟื้นจากนิทรา กับสัญญาสิบปีที่แสนเลื่อนลอย

คาดเดาไม่ได้ จับไว้ไม่อยู่ เหมือนเมฆหมอก เหมือนภาพลวงตา เอื้อมมือไปก็คว้าได้เพียงเศษซากความผิดหวัง

“ถ้าสิบปีผ่านไป ถึงตอนนั้น...”



...สิ่งที่เชื่อมโยงฉันกับโลกใบนี้ไว้ เท่าที่เจอก็มีแต่นาย...



“นายจะยังจำด้ายบางๆที่เชื่อมนายไว้กับโลกใบนี้ได้อยู่หรือเปล่า”







-







เมื่อลืมตาตื่น ความคิดที่กระเจิดกระเจิงก็ดูจะเข้าร่องเข้ารอยมากขึ้นเล็กน้อย

นาย น้อยสกุลอู๋กระพริบตา คราบน้ำตาแห้งๆที่ติดอยู่ยากจะมองอะไรได้ชัด แต่เมื่อยกมือขึ้นมาจะขยี้ตาก็ต้องร้อง พอเพ่งดูดีๆก็ต้องสยองกับสภาพมือที่ถลอกปอกเปิกยับเยิน บวกกับเลือดและแผลเปิดที่เริ่มแห้งไปแล้วบางส่วน เมื่อขยับมือแผลที่มีเยื่อเกล็ดเลือดบางปากๆปกคลุมก็ปริออกทำให้เลือดไหลซึม อีกครั้ง ทั้งแสบทั้งฝืดเหมือนฟันเฟืองสนิมเกาะ แต่ความคิดที่จะเรียกให้ลูกน้องจอมอู้ตัวดีขึ้นมาช่วยทำแผลให้ก็เป็นอันปัด ทิ้งไปเพราะท้องฟ้านอกหน้าต่างได้กลายเป็นสีดำไปแล้ว ป่านนี้เจ้าตัวคงปิดร้านแล้วเที่ยวออกไปไหนต่อไหนตามใจเหมือนเคย

“ทำ ตัวเองแท้ๆ” พึมพัมด้วยเสียงที่พอจะหลงเหลือในลำคอที่แห้งผาก เดินผ่านกระจกแล้วรู้สึกอนาถกับสภาพตัวเองไม่น้อย ตั้งแต่กลับมาถึงบ้านก็ยังไม่ได้อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า ชุดที่ใส่อยู่ก็ไม่พ้นชุดเดิมกับที่ขึ้นเขาลงเขาจากฉางไป๋ซานนั่น กลิ่นเหงื่อบวกกับกลิ่นเลือดอ่อนๆทำให้รู้สึกคลื่นเหียนวิงเวียนแปลกๆ

ทำแผลแล้วผ่านน้ำสักหน่อยท่าจะดี...

สอง ขาพาอู๋เสียมาอยู่ตรงหน้าลิ้นชักข้างเตียง เปิดชั้นบนสุดแล้วคุ้ยๆหากล่องปฐมพยาบาล คิ้วเริ่มขมวดเป็นปมเมื่อเปิดลิ้นชักทุกชั้นแล้วก็ยังไม่พบสิ่งที่ต้องการ

ครั้ง สุดท้ายที่ใช้นี่เขาเอาไปเก็บไว้ไหนกัน? ชายหนุ่มเดินรอบห้อง สอดส่ายสายตาพลางยื่นมือซ้ายที่ใช้การได้ปกติเปิดลิ้นชักและฝาตู้ในห้องตัว เองไปทั่วจนมาถึงตู้เสื้อผ้า

เขาชะงักเมื่อพบสิ่งๆหนึ่งวางอยู่ด้านในสุดของลิ้นชักชั้นล่าง มือซ้ายสั่นระริกขณะเอื้อมไปคว้ามันขึ้นมาในระดับสายตา

วินาที นั้นในวันเดียวกันนั่นเอง ท่ามกลางความเงียบงันยามค่ำคืนในห้องเล็กๆกลางหังโจว อู๋เสียร้องไห้เป็นครั้งที่สอง จนไม่เหลืออะไรในดวงตาอีก







-







ลม หนาวพัดผ่าน ใบไม้เปลี่ยนสีลู่ไหว มองผ่านหน้าต่างชั้นสองออกไปเห็นทะเลสาบซีหู ดวงอาทิตย์คล้อยต่ำขนานกับทิวเขาทอแสงสุดท้าย เคลือบผืนน้ำให้เป็นสีสว่างอร่ามดังทองคำเปลว

ทิวทัศน์อันงดงาม ไร้ความวุ่นวายใดๆ ทว่าบรรยากาศการดื่มชาชมวิวกลับชวนอึดอัดกระอักกระอวนอย่างประหลาด

“อู๋เสีย ฉันว่านายเลิกทำแบบนี้ดีกว่า”

ถ้วย ชาลายครามสีอ่อนถูกวางลงบนโต๊ะกลมหินอ่อน ผู้ถูกพาดพิงเบือนหน้าจากธรรมชาติภายนอกมาสบตากับคนสองคนที่นั่งร่วมโต๊ะ หนึ่งคือเพื่อนสมัยเด็กที่ให้ความช่วยเหลือมามากมายทั้งที่ปากบอกปฏิเสธ และอีกหนึ่งคือสหายที่ร่วมเป็นร่วมตายกันหลายครั้งหลายหนตั้งแต่ลงสุสาน ครั้งแรก

เป็นเวลาเนิ่นนานมาแล้วที่เทียนเจินอู๋เสียคนนั้นเผชิญกับ อันตรายด้วยความไร้เดียงสาและไล่ตามหาความจริงอย่างดื้อรั้นไร้จุดจบ สุดท้ายความโง่งมนั้นก็เปลี่ยนชีวิตเขา ฆ่าแววตาที่ไร้เดียงสานั้นทิ้งแล้วกลับกลายเป็นแววตาอ่านยากมากเล่ห์เหลี่ยม ของเถ้าแก่อู๋ผู้ทรงอิทธิพลมาแทนที่

“เรื่องนี้ฉันเห็นด้วยกับคุณชาย นะ ต่อให้นายจะเจ็บปวดขนาดไหนก็ไม่ต้องทำถึงขนาดนี้ก็ได้” คนร่างท้วมอุดมสมบูรณ์เกาหัวด้วยสีหน้าท่าทางลำบากใจไม่น้อย “เสี่ยว่ามันออกจะมากเกินไปหน่อยนา”

ดวงตาที่ครั้งหนึ่งเคยใสกระจ่างเหมือนผิวน้ำมองผ่านไหล่ของเซี่ยอวี้ฮัวไป

“นายไม่ใช่ฉัน นายไม่เข้าใจหรอก...”

ร่องรอยกากบาทสีแดงเข้มเกลื่อนบนปฏิทินแขวนเคียงข้างกรอบรูปบนหิ้งติดผนังอีกฝากหนึ่งของห้อง

“นี่เป็นของแทนตัวชิ้นเดียวที่มีในบ้านหลังนี้ ใครจะรู้ ถ้าฉันไม่ทำแบบนี้ บางทีคนที่เสียสติไปตั้งแต่ตอนนั้นอาจจะเป็นฉันก็ได้”

ตา จ้องตากันเหมือนทำสงครามอยู่นานร่วมนาที ในที่สุดคุณชายเซี่ยก็ถอนหายใจ ชักสีหน้าเหมือนเหนื่อยหน่ายกับการต้องพูดเรื่องเดิมซ้ำแล้วซ้ำเล่า “เอาทีนายสบายใจเถอะอู๋เสีย ฉันจะไม่ยุ่งกับเรื่องนี้อีก”

ตัวนาง ชื่อลือลั่นในวงการอุปรากรลุกขึ้น บอดี้การ์ดสองคนที่ยืนเฝ้าหน้าประตูอยู่ห่างๆเพื่อความเป็นส่วนตัวของผู้ เป็นนายขยับเข้ามาใกล้อย่างรู้งาน “ไว้ฉันจะมาหานายใหม่แล้วเราค่อยคุยกันว่าจะเอายังไงต่อ เฉพาะเรื่องไปฉางไป๋ซานน่ะนะ”

ทิ้งท้ายให้คนที่นั่งอยู่หรี่ตาลง พยักหน้าให้ ก่อนละสายตากลับมายังจุดๆเดิมก่อนหน้าที่มองผ่านเสี่ยวฮัวไป เขายังจำได้ถึงสายตาที่หนึ่งในลูกน้องของเสี่ยวฮัวใช้มองเขาสลับกับสิ่งที่ อยู่ในกรอบตรงนั้นเมื่อเดือนหลายเดือนก่อนได้ วันนี้แววตานั้นก็ยังหลงเหลืออยู่บ้างแม้จะผิวเผิน

...จะคิดอะไรก็คิดไป เก่งกล้ามาจากไหนก็ไม่มีทางห้ามความคิดคนได้อยู่แล้ว มุ่งมั่นไปที่เป้าหมายต่างหากคือสิ่งสำคัญที่สุด...

สายลมอ่อนจากภายนอกพัดสะบัดขอบกระดาษโบกเป็นจังหวะราวตุ่มนาฬิกาโบราณขยับบอกเวลา

“เทียนเจินหนอเทียนเจิน นายนี่มันบ้า” เพื่อนหนึ่งเดียวที่เหลือร่วมโต๊ะมองตามแล้วโคลงหัว “บ้ามหาเทพแท้ๆ”







-







“ออกเดินทางได้ ฤดูร้อนนี้ พวกเราไปที่ที่เย็นสบายกว่าที่นี่กัน”

สิ้นเสียงที่เอ่ยผ่านวิทยุสื่อสารและเสียงแตรรถกระหึ่มดังกลองรบลั่นยามออกศึก ขบวนรถเริ่มเคลื่อนตัวไปข้างหน้าตามบัญชา

ดวง ตะวันแผดแสงเจิดจ้ากลางฟ้าไร้เมฆ กลางหุบเขาร้างไร้ชุมชนและผู้คน อุณหภูมิที่เริ่มสูงขึ้นทำให้คนอ่อนเพลียได้ง่าย เถ้าแก่สามแห่งบ้านสกุลอู๋นั่งอยู่เบาะหลังในรถจิ๊ป มองรอบตัวพลางคิดหลายสิ่งอย่างไปเรื่อยกระทั่งเปลือกตาเริ่มหนักอึ้ง

สุด ท้ายทนอยู่ได้อีกไม่กี่ชั่วโมงให้หลังก็ฟุบหลับไปด้วยความเหนื่อยล้าสะสมที่ ต้องกำกับงานเองอย่างเข้มงวดติดต่อกันภายในไม่กี่อาทิตย์ที่ผ่านมา...

ครั้น ค่ำ อู๋เสียขยับตัว สิ่งแรกที่รู้สึกผ่านประสาทการรับรู้ทั้งห้าภายหลังได้สติเล็กน้อยคือความ สั่นสะเทือนที่หายไป คาดว่านี่คงเป็นเวลาที่ขบวนรถแวะพักกลางทางตามที่วางแผนกันไว้ เปลวไฟวูบไหวหลายจุดที่พอมองเห็นได้กระจัดกระจายตามจุดต่างๆ คละกับเสียงพูดคุยที่พอเล็ดลอดมาให้ได้ยินไม่บ่งบอกถึงปัญหาขัดข้องใดๆซึ่ง นับว่าเป็นเรื่องดี ถ้าไม่ใช่เพราะว่ามีเสียงบางอย่างที่ลอยเข้าหูมาด้วย

“.............แบบ........เอาจริง...”

เถ้าแก่สามขมวดคิ้วเข้าหากัน รู้สึกคุ้นเคยกับเสียงกระซิบกระซาบนี่อย่างประหลาด

เขา แยกแยะเสียงพูดคุยปกติจากที่ไกลๆกับเสียงที่จงใจพูดเบาเป็นพิเศษเวลาพูด เรื่องอะไรก็ตามที่เป็นความลับได้ การมีความลับหรือมีอะไรที่เกิดขึ้นลับหลังเถ้าแก่อู๋ไม่ใช่เรื่องที่ควร ละเลยนักเพราะแผนที่วางมาอาจเสียหายได้ไม่มากก็น้อย ผู้บัญชาการขบวนเดินทางจึงขยับตัวเข้าไปใกล้หน้าต่างรถแล้วเงี่ยหูฟังให้ชัด ต้นตอของเสียงมาจากแถวด้านหลังรถจิ๊ปนี่เอง

“เทียนเจินแม่งพกมาด้วย เชื่อเลย”

มีคนๆเดียวเท่านั้นที่เรียกเขาว่าเทียนเจินอู๋เสีย

นายอ้วน?

“ตกลงตามนี้นะคุณชาย”

ต่อจากนั้นก็ไม่มีบทสนทนาอะไรเพิ่มเติมอีก มีแต่เสียงฝีเท้าย่ำลงบนยอดหญ้าและดินทรายห่างออกไปเรื่อยๆ

หมอนั่นคุยอะไรกับเสี่ยวฮัว? เขาได้แต่หวังว่าจะไม่มีเรื่องยุ่งๆเกิดขึ้นอย่างน้อยก่อนการผจญภัยเสี่ยงชีวิตที่แท้จริงจะเริ่มต้นขึ้น

สิบปีแล้ว…

อู๋ เสียถอนหายใจยาว ล้วงบุหรี่ออกมาจากกระเป๋าเสื้อแล้วจุดไฟ ควันอ่อนๆส่งกลิ่นตลบอันเป็นเอกลักษณ์เกาะแน่นตามเนื้อตัวและเสื้อผ้าของผู้ สูบราวกับเงาตามตัว

ได้เวลาที่นายจะต้อง ‘กลับบ้าน’ เสียที...

เอน กายลงพิงกระเป๋าใบหนึ่งที่เดิมวางคั้นไว้ตรงกลางเบาะระหว่างตัวเองกับสหาย ร่างอ้วน ริมฝีปากยักยิ้มเบาบาง นอกจากบุหรี่แล้วก็มีสิ่งๆนี้นี่แหละที่ช่วยให้ใจของเขาสงบนิ่ง เสมือนทุกอย่างที่เกิดขึ้นเป็นเพียงฝันร้ายชั่วข้ามคืน

ปากคาบบุหรี่ไว้ขณะที่สองมือรูดซิปจนสุด แง้มกระเป๋าออกกว้าง มีลักขจรผีไว้ใช้เปิดประตูอยู่ในนั้น รวมถึง-

อู๋เสียนิ่งงัน ดวงตาเบิกกว้าง

สองมือล้วงปัดป่ายภายในกระเป๋า คว้าได้เพียงความว่างเปล่า

แล้ว เสียงผสุรวาทราวฟ้าผ่าของเถ้าแก่สามแห่งบ้านสกุลอู๋ก็ลั่นไปทั่วทั้งหุบเขา เชือดเฉือนทุกสรรพเสียงของผู้ร่วมขบวนให้พร้อมใจกันเงียบกริบเฉียบพลัน






“นายอ้วน กางเกงในลูกเจี๊ยบของเสี่ยวเกอแม่งหายไปไหนวะ!”














---------------------------------------


Talk


เราไม่รู้ เราเมา--- //โดนปาข้าวของใส่

ช่วง นี้ท่องทวิตเท่าไหร่ก็ยังกาวไม่ค่อยออกเลยต้องมาผสมกาวเอง ความจริงจะตัดจบให้มันสมบูรณ์ตั้งแต่ตอนนายน้อยพร่ำพรรณาตอนต้นแล้วนะ แต่ด้วยความทีไอเดียแรกกับใจความสำคัญที่อยากใส่มากๆชนิดว่า 'กุเอามันออกจากหัวไม่ได้ ช่วยด้วยยย!!!' มันอยู่ที่ประโยคสุดท้ายของเรื่องก็เลยเขียนต่อแบบAwkwardหน่อยๆ 'w'

เชิญคอมเม้-------แง!!! อย่าปาขวดใส่เรา!!!! //หลบวืด

[OS] ไม่มีครั้งที่สอง (ผิงเสีย)





[OS] ไม่มีครั้งที่สอง (ผิงเสีย)





By Fenrir















เมื่อได้ข่าวว่าห้างเล็กๆใกล้บ้านในหังโจวกำลังจัดSaleกระหน่ำก่อนปิดกิจการ ผมก็เลยถือโอกาสนี้ลากเสี่ยวเกอออกไปช้อปปิ้งด้วยกันซะเลย

ไอ้ ผมน่ะก็ไม่ได้อะไรหรอก แต่แค่เห็นว่าเสื้อผ้าของคนๆนี้น่ะมีน้อยจนใช้มือเดียวนับได้ แถมแบบก็เหมือนๆกันไปซะหมดเหมือนกับไปซื้อยกแพ๊คมา! ความจริงเสี่ยวเกอก็อาจไม่ได้สนเรื่องอะไรแบบนี้อยู่แล้ว มีอะไรใส่ได้ก็ใส่ไป ใส่แล้วก็ซักๆเวียนๆไป พอนานวันเข้ามันก็เก่า สีก็ซีด ถ้าไม่ขาดคนนี้ก็ถือว่ามันยังใช้ได้อยู่ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องแฟชั่นหรือเอาความดูดีเข้าว่า

เอาวะ ไหนๆก็เลี้ยงเพื่อนมาซะขนาดนี้ มีข้าวมีน้ำให้กิน มีบ้านให้นอนสบาย จะมางกไม่เข้าเรื่องกับเสื้อผ้าก็ยังไงอยู่ ผมก็เลยเดินไปหาเจ้าตัวที่นั่งเหม่อมองนอกหน้าต่างที่ทำเลเดิม พูดกับเขาว่า”เสี่ยวเกอ ไปซื้อของกัน”แล้วก็จับมือลากเขาออกมาจากร้านเลย ถ้านายไม่ว่าอะไรฉันถือว่านายโอเค! (ลองเขาดื้อแพ่งกับผมสิ...ต่อให้อ้อนวอนหรือฉุดกระชากลากถูให้ตายเขาก็ไม่ ลุกหรอก)

เมินโหยวผิงไม่ได้พูดอะไรเลย เขาได้แต่เดินตามหลังผมอยู่ใกล้ๆ ผมพาเขาเข้าห้างตรงมายังแผนกเสื้อผ้า ป้ายSaleมหึมาสีแดงเด่นหราด้วยตัวเลข80%ดึงดูดทั้งสาวเล็กสาวใหญ่มากหน้า หลายตาให้เข้ามาทั้งคุ้ยทั้งรุมทึ้งกองเสื้อผ้าสูงเป็นหย่อมๆราวกับสงคราม ผมได้แต่เหงื่อตกไม่คิดจะเอาตัวไปเสี่ยงตายในสมรภูมิโดยเด็ดขาด จึงนำเขาไปยังแผนกเสื้อผ้าบุรุษที่ติดป้ายSaleอยู่ใกล้ๆ มีทั้งชุดแบบลำลองและชุดแบบทางการกองอยู่รวมๆกัน ผมหยิบๆจับๆเสื้อสองสามตัวขึ้นมาดูแล้วทาบเข้ากับตัวของเมินโหยวผิง

“ถ้านายชอบตัวไหนก็เอาไปลองได้เลยนะ เรื่องเงินไม่ต้องห่วง”

ผม บอกเขา โยนเสื้อตัวแรกทิ้งกลับเข้ากอง แล้วคว้าอีกตัวขึ้นมาทาบกับตัวของเขาแทน มันเป็นเสื้อยืดสีเทาคอวีแขนยาว แค่ทาบก็รู้สึกว่าเสี่ยวเกอแม่งดูดีชะมัด! ตัวนี้ผ่าน! ผมหย่อนเสื้อที่ว่าลงในตะกร้าของผม มาช้อปปิ้งงานนี้ทั้งเขาทั้งผมไม่ได้กลับบ้านไปมือเปล่าแน่ๆ แต่ระหว่างที่ผมกำลังขุดๆคุ้ยๆเสื้อผ้าในกองอยู่นั้น ผมก็รู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่างที่สัมผัสแผ่นหลังของผมอยู่ พอผมเอี้ยวตัวหันไปมองก็พบกับ........สีแดง?

สีแดงกับลายจุดสีเหลือง?

เมิน โหยวผิงยังคงสีหน้าราบเรียบราวกับรูปแกะสลักหินไว้ไม่เปลี่ยนแปลง แม้ว่าสิ่งที่อยู่ในมือจะโครตพ่อโครตแม่แบ๊วขัดกับหน้าตาคนถือโดยสิ้นเชิง! นี่มันเสื้อฮู้ดสตรอว์เบอร์รี่ชัดๆ! แถมยอดฮู้ดยังมีใบไม้สีเขียวอีก! สองมือของเขาจับเสื้อฮู้ดสีแดงสดแต้มลายจุดสีเหลืองประปรายทาบกับหลังของผม ค้างไว้แล้วบอก

“ชอบ”

ยังไม่หายตกใจกับของคิกขุอาโนเนะในมือ ก็ต้องมาช็อคกับรสนิยมของคนตรงหน้าแล้วรู้สึกเหมือนโดนทรยศ ผมกลอกตามองหน้าเสี่ยวเกอสลับกับของในมือ แม่ง ผมคาดไม่ถึงเลยว่าคนใบ้จาง จางฉี่หลิง อาคุน เมินโหยวผิง เสี่ยวเกอ หรือจะเรียกอะไรก็แล้วแต่ กลับมาชอบอะไรที่มันคัลเลอร์ฟูลแบบสาวน้อยนี่!!! นายอ้วนฉันขอโทษ! ฉัมไม่น่าด่านายเลยตอนที่รู้ว่านายซื้อกางเกงในลายลูกเจี๊ยบมาให้เสี่ยวเก อเลยถ้ารู้ว่าเขาชอบแนวนี้ นายแม่งสายตาแหลมคม! ต่อจากนี้นายจะซื้ออะไรมาให้เสี่ยวเกอฉันจะไม่ว่าอีกแล้ว!

น้ำตาที่ หลั่งในใจเพราะอยู่ด้วยกันมานานแต่เพิ่งจะมารู้ความชอบของอีกฝ่ายยังไม่แห้ง ดี ผมถามย้ำอีกครั้งให้มั่นใจ “นายชอบตัวนี้จริงๆน่ะเหรอ?”

เขาพยักหน้า

“จริงนะ?” พยักหน้าซ้ำ .....ตกลงนายชอบอะไรแบบนี้จริงๆสินะ “ถ้านายชอบ ก็ทิ้งใส่ตะกร้านี่เลย”

ผมผละไปดูเสื้อผ้าต่อ จากหางตาก็ยังไม่เห็นวี่แววของสีจี๊ดบาดใจในตะกร้าข้างตัวเสียที

ผมหันไปมอง เมินโหยวผิงยังยืนนิ่ง ไม่ใส่เสื้อตัวนั้นลงมาในตะกร้าเสียที “เสี่ยวเกอ?”

“...”

เขาขยับปากหากผมไม่อาจได้ยิน จึงขยับเข้าไปใกล้ “ว่าอะไรนะ?”



“นาย....ไม่ลอง?”



ผมขมวดคิ้ว “ลอง? อ๋อ ห้องลองอยู่ทางโน้นน่ะ” ผมชี้ไป

เขาส่ายหน้า เฮ้ ถ้านายไม่รีบไป เดี๊ยวสาวๆก็แย่งห้องลองหมดหรอก

เราประสานสายตากันชั่วครู ในที่สุดเขาก็เอ่ยปาก

“นายบอกว่าถ้าชอบตัวไหน ก็ให้ลอง”

ผมยังไม่เข้าใจ “อ่าฮะ แล้ว?”

เมินโหยวผิงส่ายหน้า พ่นลม ไอ้ท่าทางที่ทำเหมือนผมกลายเป็นเด็กที่พูดอะไรด้วยไม่รู้เรื่องนี่มันอะไรกันวะ!

เจ้าตัวทาบเสื้อฮู้ดลงบนหน้าอกของผมอีกครั้ง แล้วยิ้ม

เดี๊ยวก่อนนะ....



“มันเหมาะกับนาย ฉันชอบ” ขยับตัวเข้ามาใกล้จนลมหายใจอุ่นเป่ารดบนแก้มและจมูก ย้ำอีกครั้ง “ชอบมาก”



...รู้สึก เหมือนทุกอย่างในหัวระเบิดบรึ้ม หน้าร้อนผ่าวเหมือนเอาถุงน้ำร้อนมาแนบหน้าทั้งซ้ายขวาจนแทบสุก สติสตางค์กระเจิดกระเจิงเหมือนฝูงด้วงในสุสานแตกฮือ นี่มันกลางห้าง! กลางหังโจวเลยนะเฮ้ย! ผมสาบานได้ว่าหน้าผมตอนนี้ต้องแดงแปร๊ดแซงฮู้ดสตรอวเบอร์รี่ในมือไอ้บ้าเมิน โหยวผิงแน่ๆ อย่าบอกนะว่าที่หมอนี่บอกว่าชอบก็เพราะอยากจะให้ผมใส่!

"นาย ล้อเล่น?" หลุดปากถามโง่ๆออกไปแล้วแทบกลืนน้ำลายไม่ลง เสี่ยวเกอน่ะเหรอล้อเล่นเป็น แถมด้วยแววตาแบบนี้... แต่นี่มันแปลกเกินไปแล้ว!

“เสี่ยวเกอ เรามาที่นี่ก็เพื่อซื้อเสื้อผ้าให้นายนะ ไม่ใช่ให้ฉัน ถ้านายชอบตัวไหนนายก็ลองเอง ใส่เอง” ผมกล่อม

“ฉัน รู้ แต่นี่เหมาะกับนายมาก” เวรล่ะ คนดื้อนี่แม่งดื้อจริงๆ ผมจะไม่อธิบายให้หมอนี่ฟังหรอกนะว่าเสื้อฮู้ดสุดน่ารักในมือเขามันไม่ใช่ ปัญหา

“ฉันไม่ใส่ นายชอบก็ใส่เองสิเสี่ยวเกอ”

“แต่มันเหมาะกับนายมากกว่า”

ปัญหาน่ะมันอยู่ที่ไอ้คนดื้อเงียบข้างหน้านี่แหละ!

“ฉันไม่เอา” ผมมองสีแดงแปร๊ดแล้วขนลุกทั้งตัวด้วยเหตุผลบางอย่าง

“ฉันจะเอา” มีเถียง! จู่ๆก็หายใบ้เอาง่ายๆเลยเรอะ!

“ถ้าอยากได้ก็ควักเงินซื้อเองสิ!”

“นายบอกว่าเรื่องเงินไม่ต้องห่วง” โอ๊ย! ทีแบบนี้พ่อคุณดันงกแถมจำได้แม่นอีก นายเอาสมองไปจำเรื่องที่ควรจะจำดีกว่าไหม?

“งั้น ฉันไม่ซื้อให้!” ปกติเสี่ยวเกอไม่ได้พกเงินติดตัวเอาไว้ถ้าไม่มีเหตุต้องใช้ แล้วนี่ผมถือวิสาสะลากเขาออกมากะทันหันก็คงไม่มีเวลาหยิบเงินออกมาด้วย

โดน ไม้นี้ไป เขานิ่งเงียบเหมือนไม่รู้จะทำอย่างไรต่อ เขาไม่ใช่คนพูดเรื่อยเปื่อยผมรู้ การที่เขาย้ำจริงๆจังๆขนาดนี้ต้องนับว่าเป็นพัฒนาการอีกขั้นของมนุษย์ที่คิด ว่าตัวเองตัดขาดจากโลกไปแล้วว่าอย่างน้อยเขาก็มีเรื่องอื่นให้คิดให้สนใจ แต่ทำไมต้องเป็นเรื่องนี้วะเสี่ยวเกอ?


“....นายอยากให้ฉันใส่ไอ้นี่จริงๆเหรอ?”

พยักหน้า

“นายชอบชุดนี้เพราะมันเหมาะกับฉันเนี่ยนะ?”

พยักหน้าซ้ำ หนอย ทีแบบนี้ล่ะพยักหน้ารับอย่างเดียว

“เสียใจ ด้วยนะเสี่ยวเกอ ฉันไม่ซื้อเสื้อผ้าที่ฉันไม่ได้ลองในร้านหรอกนะ” ผมยื่นประกาศิต ชักแม่น้ำมาทุกสายเท่าที่ทำได้ ความจริงผมมั่วไปทั้งเพ! เรื่องเสื้อผ้านี่ขอแค่ผมชอบและทาบๆดูคิดว่าผมใส่ได้ก็เอา ไม่ได้ต้องวัดตรงนั้นตรงนี้หรือลองอะไรในห้องให้วุ่นวายนักเหมือนเสี่ยวฮัว ที่พิถีพิถันเรื่องการแต่งกาย และเพราะที่นี่เป็นห้างเล็กๆ ห้องลองชุดจึงมีน้อย ประจวบเหมาะกับตอนนี้ที่พวกเรามาช้อปปิ้งในเวลาเดียวกับพวกสาวๆพอดีทำให้พวก หล่อนใช้กันจนเต็มแถมยังยืนออกันรอยื้อแย่งอยู่เป็นพรวน ไม่เหลือวี่แววว่าจะมีโอกาสให้สองบุรุษได้ใช้เลยแม้แต่น้อย แต่ขืนเขาไม่พูดอะไรสักอย่าง ไอ้สัญชาตญาณที่ร้องบอกถึงอันตรายที่จากรอยยิ้มบนใบหน้าหล่อๆเมื่อกี้มัน ต้องมีความหมายอะไรแน่ๆ!!

“อย่างที่ฉันบอกไป ถ้านายชอบตัวไหน นายก็ต้องเป็นคนลองเอง ถ้านายจะซื้อเจ้านี่ฉันไม่ว่า แต่ไม่ใช่ด้วยเงินของนายน้อยสามคนนี้แน่นอน”

เอ้า ลองพ่อพูดขนาดนี้แล้วผมไม่ยอมง่ายๆแน่ บุรุษดาบดำจอมเทพเวลาลงกรวยอย่างจางฉี่หลิงคงจะไม่ได้ติดใจอะไรจริงจังกับ ของอะไรแบบนี้นักหนาหรอก...ใช่ไหม? ถ้าเป็นนายอ้วนหวังค่อยว่าไปอย่าง---



“ถ้างั้น...”





บังเกิด ความเงียบฉับพลันกลางแผนกเสื้อผ้าSale ก่อนเสียงกรี๊ดปรอทแตกจะดังแผดลั่นจนกระดูกโกลนแทบลุกออกมาเต้นนอกหู เมินโหยวผิงกำลังถอดเสื้อฮู้ดของตัวเองออก! ผมตาเบิกกว้าง พูดไม่ออกไปชั่วขณะ จวบจนเสื้อตัวเก่งที่อยู่บนร่างอีกฝ่ายถูกรูดจนพ้นศีรษะ แล้วเจ้าตัวก็สะบัดมันลงไปกองกับพื้นใกล้ๆด้วยท่วงท่าประหนึ่งนายแบบโฆษณา ชุดซัมเมอร์คอเลคชั่นกลางชายหาด! มือที่มีสองนิ้วเรียวยาวเป็นพิเศษจับที่ชายเสื้อกล้ามสีขาวแนบไปกับลำตัว หมายจะดึงรั้งปราการด่านสุดท้ายบนท่อนบนออก

หมับ!

ผมได้สติ แล้วคว้ามือที่ดึงชายเสื้อค้างไว้เหนือขอบกางเกงไม่เท่าไหร่หมับ จ้องตาเขม็ง ให้ตายนี่นายทำบ้าอะไรของนายวะเมินโหยวผิง!!! ผมก้มลงไปหยิบเสื้อฮูดสีน้ำเงินของเขามาสวมให้ ....แล้วนายมาเสือกขี้ร้อนอะไรตอนนี้วะ!! ผมรีบๆดึงเสื้อให้ลงมาปกปิดรอยสักกิเลนที่เริ่มปรากฏจางๆบริเวณต้นคอและบ่า ที่โผล่พ้นขอบเสื้อกล้าม ไม่ซงไม่ซื้อแม่งแล้ววันนี้! เสร็จแล้วจูงเขาออกมานอกแผนกเสื้อผ้าทันที ได้ยินเสียงร้องโอดบ่นเสียดายจากสาวน้อยสาวแก่แม่หม้ายรอบๆแถมพนักงานหญิง ทั้งหลายก็หยิบมือถือขึ้นมาถ่ายตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ ถ่ายหาพ่อง พวกอีห่านี่สมควรโดนไล่ออกให้หมด!




















“เสี่ยวเกอ” ผมกลั้นหายใจ “...นายบอกฉันทีว่านี่มันอะไร”

“ฉันซื้อมาเอง” เออดีๆ เดี๊ยวนี้รู้จักหัดออกไปไหนมาไหนเองเหมือนมนุษย์มนาเขาแล้ว เดี๊ยว นั่นไม่ใช่ประเด็น

ที่ฉันอยากจะถามคือ นายซื้อไอ้ชุดบ้านี่มาทำไม!

ตอน ที่ผมนั่งนั่งหนังสือชิลๆอยู่ในร้าน เสี่ยวเกอก็เดินเข้ามา บอกว่ามีอะไรจะให้ดูในห้อง พอตามขึ้นมาก็เห็นไอ้ชุดสีแดงเจ้าปัญหาวางแผ่หราตัดกับผ้าปูเตียง ผ่านมาตั้งสามวันแล้วนายยังติดใจอะไรนักหนากับไอ้ชุดสตรอว์เบอร์รี่นี่วะ ไอ้หมอนี่แม่งพอผมไม่ซื้อให้ถึงกับยอมแคะกระปุกหมูเอาเงินที่ได้จากลงกรวยไป ซื้อมาเองตัวคนเดียว ความมุ่งมั่นของนายนี่โครตน่าประทับใจเลยถ้าไม่ใช่เรื่องนี้!

ขณะที่ ผมกำลังสบถงึมงัมด้วยถ้อยคำสรรเสริญบรรพบุรุษสกุลจางจนนอนสะดุ้งเฮือกๆในโลง ตราบจนภพหน้า ก็ไม่ทันได้สังเกตว่าอีกฝ่ายเดินไปปิดประตูห้อง กว่าจะหันไปมองก็ตอนที่เมินโหยวผิงล็อคกลอนประตูดังกริ๊ก

“...ล็อคประตูทำไม” ผมก้าวถอยหลัง คนตรงหน้าทำแค่มองผมนิ่งๆ แต่ไอ้รังสีคุกคามที่แผ่ออกมานี่แม่งไม่คิดจะปิดบังเลยสักนิด!

“นายต้องลองชุด”

“ก็แค่ฮู้ด สวมทับธรรมดาๆก็ได้”

“เสื้อมันหนา เดี๊ยวนายจะอึดอัด”

กิเลนที่อกนายนั่นแหละโว้ยที่ทำให้ฉันอึดอัด!

“งะ งั้นนายออกไปก่อน เดี๊ยวฉันจะใส่เอง”

ขยับไปจนสองขาติดผนังห้อง ผมหลบสายตาที่มองมา



“อู๋เสีย”



“อะไร”



ผมก้มหน้ามองพื้น จากมุมนี้ผมเห็นปลายเท้าของเสี่ยวเกอที่ก้าวมาอยู่ตรงหน้าอย่างชัดเจน



“ฉันเป็นคนซื้อ”



มือขวาที่ใช้ปลดกลไกสุสานมานักต่อนัก มือที่ช่วยชีวิตผมมานับครั้งไม่ถ้วน มือที่ทำให้เขาได้ชื่อว่าเป็นเทพผู้ไร้เทียมทานยามบุกสุสาน



เป็นมือข้างเดียวกันที่เริ่มเขี่ยกระดุมจากรังของมัน ทีละเม็ด จากบนลงล่าง








“ก็ต้องเป็นคนสวม”








...ถ้า มีคราวหน้าที่ผมพาเสี่ยวเกอออกมาซื้อเสื้อผ้าอีก ขอสาบานต่อหน้าฟ้าดินเลยว่าผมจะไม่ยอมปล่อยให้เขาเลือกคนเดียวอีกเป็นครั้ง ที่สอง!










------------------------------------------------



Talk



เป็นฟิคที่ร้าวรานใจที่สุดเท่าที่เคยเขียนเลยค่ะ ไม่ใช่เพราะเรื่องแต่เป็นเรื่องทางเทคนิค เพราะบราวเซอร์ดับค่ะ! //ตึง

ปกติ จะพิมพ์สดใส่Twitlongerไว้เลย ปกติเวลาเราปิดมันจะเซฟให้ชั่วคราวใช่มั้ยคะ แต่คราวนี้มันไม่เซฟไว้ให้ค่ะ น้ำตาแทบไหลพรากเพราะเหลือแค่พิมพ์Talkก็จะกดส่งแล้ว กลายเป็นว่าแทนที่ฟิคนี้ควรจะเสร็จตั้งแต่ก่อน1ทุ่ม ก็ดันมาเสร็จเอาหลังเที่ยงคืน ล่วงเข้าเช้าวันใหม่ไปแล้วเรียบร้อย #ร้องไห้หนักมาก

แต่พอมาเขียนครั้งที่สองก็ต้องกู้ความจำออกมาให้ได้ มากที่สุดค่ะ มีหลายท่อนเหมือนกันที่ลืมว่าเราเขียนอะไรไป ใช้สำนวนแบบไหนไป บางอันเลยต้องคิดใหม่ แต่บางจุดก็เติมเพิ่มให้สมบูรณ์ขึ้น กำลังพยายามคิดซะว่าเหมือนได้โอกาสรีไรท์ใหม่(แบบไม่ได้ตั้งใจ) TwT

สำหรับ ที่มาของเรื่องขอยกให้คุณปอยิ้มค่ะที่ทวิตคลิปทำน้องเจี๊ยบใส่ฮู้ดสุดน่ารัก จากผลไม้ มันจะเป็นแค่คลิปทำของน่ารักกุ๊กกิ๊กธรรมดาถ้าไม่ใช่เพราะว่าคุณปอยิ้มพูด ว่ามันเป็นเจี๊ยบเสี่ยวเกอสวมฮู้ดสตรอวเบอร์รี่! ในขณะที่คนอื่นมุ้งมิ้งไป เราก็กาวออก! สารภาพว่าวันนี้ป่วยเลยนอนเผละอยู่บ้าน สุดท้ายกู้พลังชีวิตมานั่งพิมพ์ในคอมเพราะทนไม่ไหวค่ะ (อีนี้บ้ากาว)

[OS] สิ่งที่ทิ้งไว้ (ผิงเสีย)




[OS] สิ่งที่ทิ้งไว้ (ผิงเสีย)







By Fenrir







[สปอยล์เล่ม10]















...แคร่ง...


แว่วเสียงโลหะกระทบบางเบายามขยับแขน

เปลือกตาค่อยๆเลิกขึ้น เบื้องหน้าคือความมืดมิด

ริมฝีปากแห้งแตก ลำคอแสบสากเหมือนผุยผง กระทั่งปลายลิ้นก็แทบไม่อาจกวาดหาน้ำลายมาหล่อเลี้ยง

อึดอัด ทรมาน

ราวกับอยู่กลางทะเลทราย ทั้งที่อยู่ในหังโจว...







จางฉี่หลิงบอกว่าเขาคือคนที่ต้องไปอยู่หลังประตูนั่นตามคำสัญญาของเก้าสกุล

คาดไม่ถึงในคำตอบ ทว่าสิ้นคำ...รู้สึกเพียงโลกเบื้องหน้าวูบดับลงราวสับสวิชต์ไฟ เพื่อตื่นขึ้นมาอีกครั้งแล้วพบกับความว่างเปล่า

จากไปเพราะสัญญาที่ไม่มีใครรักษา

จากไปเพื่อแลกกับชีวิตสิบปีของคนหนึ่งคน

นอกจากลัญขจรผีและคำสัญญาแสนเลื่อนลอย จางฉี่หลิงได้ทิ้งสิ่งๆหนึ่งไว้ให้นายน้อยสกุลอู๋

ความคำนึงต่อคนที่หายไปหลังประตูสำริด...ที่กดทับก้อนเนื้อในอกมาตลอดนับตั้งแต่กลับมาจากฉางไป๋ซาน

ไม่เพียงประตูสำริดปิดตายที่กั้นคนทั้งคู่ไว้ 'สิบปี'เป็นดั่งประกาศิตจากฟ้าที่ไม่มีวันบิดพริ้ว ว่าไม่ว่าจะอย่างไร เขาต้องไป

ไปทำหน้าที่

หน้าที่ของอู๋เสีย



เทียน เจินอู๋เสียที่ได้แต่ก่นด่าและสาปแช่งความไม่ได้เรื่องของตน ทิ้งร่างลงบนเก้าอี้โยกใต้ชายคาร้านอาสามกลางหังโจวด้วยดวงตาหม่นลอยเหมือน คนเป็นไข้ สองขาไร้เรี่ยวแรง ปวกเปียกเหมือนกล้าไม้ไร้เสาค้ำจุน ยามต้องลมแรงก็แทบล้มหักพินาศ

เขามีความมั่นใจในระดับหนึ่งว่าเรื่อง ราวความโกลาหลเปื้อนคาวเลือดและกลิ่นชื้นสาบสางของสุสานที่ประสบมาในปีสองปี นับแต่อาสามพาลงกรวยครั้งแรก มันได้ขัดเกลาจิตของตนให้แกร่งในระดับที่พอจะรับมือเหตุการณ์ไม่คาดฝันไหว

เขาคิดผิดและคิดถูกในเวลาเดียวกัน

เพราะความมั่นใจที่มีเอาไว้ใช้กับภูตผีปีศาจและกับดักในสุสาน

ไม่ใช่มีไว้รับมือกับ'การจากลา'



หัง โจวคือถิ่นอันคุ้นเคย มีผู้คนมากมายหลายร้อยพันชีวิต พวกเขาหายใจและใช้ชีวิต ที่แห่งนี้ไม่ใช่สุสาน เป็นดินแดนแห่งคนเป็น ไม่มีอะไรต้องกลัว แต่อู๋เสียกลับพบว่าความหน่วง ความโหวงกลวงที่สัมผัสได้จากอกซ้าย น่าหวาดหวั่นกว่าวานรสมุทรหรือผีแม่ย่าที่กระโจนเข้าใส่เสียอีก เขานอนไม่หลับมาหลายคืน บ้างเผลอไผลหลับไปก่อนสะดุ้งตื่นมากลางดึก ลงเอยด้วยขอบตาที่หมองคล้ำและก้อนเนื้อใต้ซี่โครงเต้นรัวเร็วราวจังหวะกลอง งิ้วประกอบอุปรากรของเซี่ยอวี้เฉินจวบจนไก่ขันยามรุ่งเช้า

ในที่สุด เมื่อถึงจุดหนึ่งที่เกินรับไหว ทายาทเพียงหนึ่งเดียวแห่งสกุลอู๋สั่งลูกน้องหกร้อยหยวนให้ปิดร้านแม้ดวง ตะวันยังลอยค้างเด่นกลางฟ้า พลันย่างเท้าก้าวเข้าไปในห้องหนึ่งบนชั้นสองด้วยใจเหม่อลอย เดิมทีเป็นห้องเก็บพวกสินค้าเก่าๆที่อาสามเคยใช้เมื่อนานมาแล้ว มันเป็นห้องอับที่ไม่มีใครเปิดใช้ มีหลอดไฟที่เปิดไม่ติดหนึ่งดวง อีกทั้งไร้หน้าต่าง มีเพียงประตูหนึ่งบานเป็นทางเข้าออก แค่เปิดเบาๆฝุ่นก็ฟุ้งกระจาย ราวม่านหมอกมีพิษจางๆในสุสาน...

นาย น้อยสามเพียงแค่ต้องการอยู่ตามลำพัง ไม่อยากให้ใครพบและไม่อยากจะพบใคร ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าใด แต่ความหนักหน่วงที่บีบรัดอยู่ภายในพลันผ่อนคลายและสงบลง ครั้นลุกขึ้นแล้วเดินออกไปจากห้องก็เป็นเวลาเกือบสองทุ่ม

ชายหนุ่ม ไม่เข้าใจในคราแรกว่าเหตุใดการพาตัวเองมาอยู่ในห้องแคบๆมืดๆถึงส่งผลบวกต่อ จิตใจอย่างประหลาด คืนนั้นเขาเข้านอนได้เป็นปกติครั้งแรกในรอบหลายอาทิตย์ ครั้งที่สอง...สาม....สี่จึงตามมา และสิ่งนี้ก็กลายเป็นกิจวัตรลากยาวมาจนผ่านไปร่วมครึ่งทศวรรษ



เวลา ที่หมุนเวียนเปลี่ยนผ่านมาหลายฤดูกาลมีอำนาจเพียงพอให้คนและโลกเปลี่ยน นายน้อยสามไม่ใช่ข้อยกเว้น บัณฑิตหนุ่มผู้ถูกวางไว้ในพื้นที่ขาวสะอาดเช่นเดียวกับบิดาถูกดึงเข้าสู่ สงคราม แรกเริ่มคือความเข็ดหลาบและหวาดกลัว แต่จะเพราะฟ้าดินลิขิตหรือความดื้นรั้นที่แทรกซึมทุกอณูก็แล้วแต่ ผลลัพธ์คือเทียนเจินอู๋เสียคนนั้นกลับกลายเป็นเถ้าแก่อู๋ ไม่ใช่ด้วยบารมีใต้ร่มเงาของอาสามที่เขาเคยยืนเกาะชายเสื้อเบื้องหลังมาโดย ตลอด แต่ด้วยสองมือที่หยาบกร้าน เนื้อตัวที่มอมแมมพร่อยบาดแผลมากมายเกินนับ และหัวใจที่ความด้านชาค่อยๆกัดกิน


...เหมือนก้อนหิน... บอกตัวเอง ราวกับทวนซ้ำๆ ย้ำไม่ให้ลืม ...เหมือนนาย...



ทั้งที่ควรจะไม่เจ็บปวด



ทั้งที่ควรจะทำใจยอมรับและรอคอยต่อไปอย่างใจเย็น




เวลา ที่ชายหนุ่มใช้ในห้องเล็กที่ถูกดัดแปลงให้เป็นห้องมืดโดยสมบูรณ์กลับยาวนาน ขึ้นพอๆกับจำนวนมวนบุหรี่ที่สูบวันต่อวัน และทวีขึ้นเท่าตัวเมื่อก้าวขึ้นสู่ฐานะเถ้าแก่อู๋ เหมือนว่ากิจวัตรดังกล่าวไม่อาจสนองความต้องการใดๆได้อีก เนื้อตัวและหัวยังคงหนักอึ้งเหมือนหุ่นชักถูกตัดเชือก

เขาเคยคิด เป็นไปได้ไหมว่าที่เขากำลังทำอยู่ คือการพยายามแบกรับหน้าที่ของคนๆหนึ่งซึ่งที่เขาควรน้อมรับมันและไม่ควรจะมีใครไปทำแทน?

พอ ถึงตรงนี้อู๋เสียถึงกับส่ายหน้าอย่างอ่อนใจ รู้ดีว่าทั้งหมดที่ทำไปก็ได้แค่'แสร้ง'แบกรับ เขาไม่มีทางล่วงรู้หรอกว่าโลกเบื้องหลังบานประตูลี้ลับนั่นจะนำพาผู้เยี่ยม เยียนไปสู่สิ่งใด คนที่รู้ก็ไม่อยู่ให้ถาม ต่อให้ถามก็อาจป่วยการเหมือนถามทางกับพระพุทธรูปหิน

ไม่รู้อยู่เป็นหรืออยู่ตาย

ไม่ ว่าจะนั่งในความมืดมิดที่ไร้สุ้มเสียงนานเพียงใด นานกระทั่งสรรพเสียงบนโลกที่ได้ยินมีเพียงเสียงยามกลืนน้ำลายหรือหายใจเข้า ออก อู๋เสียไม่มั่นใจเลยว่าสถานการณ์จำลองจากภาพจินตนาการโลกเบื้องหลังประตูที่ ใครคนหนึ่งออกตัวเสียสละแทนเขาจะใกล้เคียงกับความเป็นจริงที่อีกฝ่ายเผชิญ



ใน วันหนึ่งที่นั่งดื่มชา ทอดมองปฏิทินที่มีแต่รอยขีดฆ่าหนาสีแดงเข้ม ตนจึงยอมรับในที่สุดว่าตนไม่อาจกลายเป็นเครื่องจักรหัวใจหินที่เคลื่อนไปตาม เป้าหมายเพียงอย่างเดียว ความคำนึงหานั้นมิได้หายไป แค่เป็นคมหอกที่ฝังคาหัวใจอยู่นมนานจนกลืนเข้ากันเป็นเนื้อเดียว และก้อนเนื้อที่เต้นในอกนี่ก็ไม่ได้กลายเป็นหิน มันจึงทิ้งตะกอนและลิ่มเลือดแห้งกรังจากบาดแผลไว้ให้ดูต่างหน้า ช้ำเลือดช้ำหนองเพียงสะกิดก็รวดร้าว หนำซ้ำลึกลงไปล้วนกลวงโบ๋เหมือนภาชนะก้นรั่ว ถมไปเท่าไหร่ไม่มีวันเต็ม



อย่าง ไรก็ตาม กิจวัตรที่แสนไร้ประโยชน์ต่อร่างกายและจิตใจก็ยังดำเนินต่อไป ตรวนทำจากสแตนเลสคือสิ่งที่เพิ่มเข้ามาในห้องทีหลังเมื่อระลึกถึงความจริง ข้อนี้ ถ้าลำพังการนั่งในห้องไม่เพียงพอให้เขารู้สึกว่าได้อะไร ตรวนนี้จะล่ามไว้ไม่ให้เขาลุกจากไปไหน เขาจะต้องอยู่ในห้องนั้นก็เพราะเขาต้องอยู่ แค่นั้นเอง


นายอ้วน เคยบอกให้หยุด ทั้งด่าทั้งโวยวายใส่เขาเสียยกใหญ่ว่าที่กำลังทำอยู่มันคือการฆ่าตัวตายชัดๆ เสี่ยวเกอคงไม่ได้ไปนั่งเล่นหลังประตูสำริดสิบปีเพื่อให้เขามาทำอะไรแบบนี้



"ฉันไม่ได้ตามหมอนั่นไปถึงฉางไป๋ซานเพื่อให้เขาเข้าไปอยู่หลังประตูนั่นเหมือนกัน"


เถ้าแก่อู๋ขยับปากในที่สุด


"ถ้า เขาเข้าไปในนั้นเพราะเป็นหน้าที่ของตัวเอง เป็นหน้าที่ของสกุลจางที่ต้องเข้าไปเฝ้าไอ้ประตูนรกนั่นทุกๆสิบปี ฉันคงทำอะไรความคิดของเสี่ยวเกอไม่ได้ แต่นี่ คนที่ควรจะอยู่ที่นั่นต้องเป็นฉันไม่ใช่เสี่ยวเกอ แล้วนายจะให้ฉันรู้สึกยังไงกับไอ้ใบ้คนหนึ่งที่วันๆแม่งคิดแต่เรื่องภารกิจ จู่ๆวันนึงดันมาเปลี่ยนเป้าหมาย เข้า ไป เพื่อ ฉัน"


กลิ่นไหม้ของเส้นยาสูบราคาแพงในมือตลบอบอวล เศษเถ้าถ่านร่วงหล่นบนตักราวใบไม้ปลิดขั้วในฤดูใบไม้ผลิ


"เขา มีทางเลือก ฉันเองก็อยู่ตรงนั้น หมอนั่นจะชี้หน้าบอกว่าเฮ้ นายนั่นแหละต้องเข้าไปตามสัญญาเก้าสกุล แล้วลากฉันไปทิ้งไว้หลังประตูนั่นก็ได้"


ดวงตาที่เคยใสกระจ่างยกขึ้นสบอีกฝ่าย


"แต่หมอนั่นไม่ทำ"



นาย อ้วนหวังได้แต่จนคำพูด ถอนหายใจดังเฮือก พึมพัมอะไรสักอย่างที่เจ้าของบ้านไม่ได้ใส่ใจจะฟังในเมื่อมีเอกสารมากมาย ต้องจัดการเบื้องหน้า หากเจ้าตัวก็หมั่นมาเยี่ยมบ้างเป็นครั้งคราว ไม่ลืมทำตัวเป็นแม่ไก่คอยจับตาดูอยู่ห่างๆ บ่นๆจนหน้ายุ่งทุกครั้งเมื่อเห็นรอยแดงเป็นปื้นบริเวณข้อมือทั้งสองข้าง ร้อนจนอู๋เสียต้องหาเสื้อคลุมแขนยาวมาใส่เพื่อปกปิด เพื่อนสมัยเด็กอย่างเจ้าบ้านสกุลเซี่ยก็รับรู้และไม่ได้ชอบใจนัก แต่รู้ว่าต่อให้พูดอย่างไรคนๆนี้ก็ไม่ฟัง

"ถ้าอาเฮียทำแล้วสบายใจฉันก็ไม่ว่า แค่อย่าให้เปิดห้องอีกทีแล้วเจอเป็นศพก็พอ"

คนฟังกลอกตา "พวกนายนี่ เห็นฉันเป็นพวกชอบทำร้ายตัวเองหรือไง ฉันไม่เป็นอะไร"

"นายทำอะไรชอบเข้าเนื้อทุกที หรือไม่ใช่?"

โดนย้อนถามอย่างที่เขารู้ดีแก่ใจว่าแก้ตัวไม่ขึ้น




เพราะคมหอกนี่ หากจะเอาออกได้ มีเพียงหนทางเดียว





และเมื่อเอาออกไป คมของมันก็ยังคงทิ้งบาดแผลไว้ไม่รู้ลืม










'ต่อ ให้ข้างนอกผ่านไปกี่ร้อยกี่พันปี ต่อให้โลกนี้แม่งไม่เหลือใคร ต่อให้ทั้งฉัน นายอ้วน เสี่ยวฮัว ซิ่วซิ่ว ลงโลงกันไปหมดแล้ว นายก็คงจะทำตัวอมพะนำ เป็นนายเรือพ่วงน่าเบื่ออยู่เหมือนเดิม' เขาโคลงหัว '...รึเปล่านะ?'



ตึก...



'อยู่ในนั้นนายสบายดีไหม? ยังจำที่นายพูดไว้ได้รึเปล่า?'



กึก.. กึก.. กึก..



'หากเราพบกันอีกครั้ง'



ก๊อก ก๊อก



'นายจะเป็นหรือตาย'





แกร๊ก....



"ได้เวลาแล้วครับเถ้าแก่"


แสง ขาวจ้าจากไฟนีออนบนทางเดินสาดผ่านบานประตูทึบที่ค่อยๆแง้มก่อนเปิดกว้าง คนกลุ่มเล็กๆก้าวเข้ามายังร่างที่ยังนั่งสงบนิ่ง ท่ามกลางความมืดที่เจือจางด้วยแสงไฟจนสลัว คนหนึ่งปลดตรวนเหล็กที่ข้อมือออก ที่เหลือส่งเสื้อคลุมและขวดน้ำให้ผู้เป็นนายรับไปดื่มดับกระหาย

"คุณชายเซี่ยล่ะ?"

"รออยู่ข้างล่างแล้วครับ ทุกอย่างเรียบร้อยตามที่เถ้าแก่สั่งไว้"

อู๋เสียพยักหน้า รับเสื้อคลุมตัวเก่งมาสวม แขนเสื้อยาวๆทาบทับปกปิดรอยแดงเจือกลิ่นโลหะอ่อนๆสนิท

"อีกไม่นาน อีกแค่ครึ่งหนึ่งเท่านั้น"

พึมพัมด้วยริมฝีปากแห้งแตก รสคาวซึมอบอวลทั่วลำคอ




"ความทรมานนี่ ฉันจะให้นายเป็นคนหยุดมันจางฉี่หลิง"










--------------------------------------------------



Talk




Super Glue ผสมเหงื่อก็กลายมาเป็นแบบนี้แหละค่ะเธอว์....

ฟิค นี้ได้แรงบันดาลใจมาจากฟิคของคุณpokepokeruค่ะ ฟิคที่นายน้อยถูกจับขังในห้องแล้วเพ้อหาสามีว่าคงยกขบวนขันหมากไปหาที่ฉาง ไป๋ซานไม่ได้แล้วนั่นแหละ! อ่านเสร็จนี่พลังกาวอัดเต็มสูบ มโนอีกรูทนึงว่าถ้ากลายเป็นว่านายน้อยเป็นคนจับตัวเองขังไว้ในห้องจะเป็นยัง ไงและทำไปเพราะอะไร วนๆอยู่ในทวิตก็ได้กาวอย่างละกระปุกสองกระปุกมาเทรวมในถังจนระเบิด บรึ้มมมมมมมมมมมมมมมม!!!!!!

เป็นซุปเปอร์กาวยี่ห้ออู๋เสียคนM
ฟืด ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด


ถ้า ฟิค'เรียนรู้'คือความในใจของเสี่ยวเกอที่คิดจะตอบแทนอู๋เสีย นี่คงเป็นภาคกลับของฝ่ายอู๋เสียบ้างค่ะ แต่อารมณ์มันกลับคนละเรื่องเลย เราว่ามันไม่ง่ายเลยนะคะที่คนๆนึงที่เฉยชากับทุกสิ่งในโลกมาตลอดกลับมีความ เปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น ซึ่งเราเองก็ไม่รู้ว่าความเปลี่ยนแปลงนี้มันน่ายินดีหรือเศร้าหรือกันแน่ ถ้าวันหนึ่งสิ่งที่ไร้หัวใจกลับกลายว่ามีขึ้นมา และเราก็ต้องเสียมันไปในท้ายที่สุด

...คิดซะว่าเรื่องนี้คือบท Prequel ของฟิค'เรียนรู้'แล้วกันค่ะ จะได้ไม่รู้สึกฟัคอัพมาก (เอ๊ะ หรือเรารู้สึกเศร้ากับเรื่องนี้คนเดียว??)

อันนี้ใช้เวลาเขียน นานกว่า2ฟิคที่แล้วมากเพราะเขียนกันข้ามคืนเลย เริ่มตอนดึกๆเมื่อวานซึ่งกำลังง่วงๆได้ที่ พอกลับมาเปิดอ่านตอนเช้าก็ได้แต่ร้อง วอท ดา ฟัค ดิท ไอ จัส ไรท์!!! ต้องกลับมารีความคิดที่มึนๆกลับมาอย่างหนักหน่วง = ="

อยากคอมเม้นต์อยากด่าว่าอินี้กาวอัลลัยอ่านไม่รู้เรื่องก็เชิญตามสบายค่ะ เราจะถือพลองไปตักตีหัวท่านที่หน้าปากซอย---

[OS] เรียนรู้ (ผิงเสีย)




[OS] เรียนรู้ (ผิงเสีย)



By Fenrir




[สปอยล์เล่ม10]












แม้ได้อยู่ใกล้ชิดกันมานมนาน คนๆนี้ยังมีอะไรอีกมากมายให้เขาได้ทำความรู้จัก


นิ้วชี้ที่เรียวยาวเป็นพิเศษจรดลงบนหลังคอ วนรอบตำแหน่งหนึ่งซ้ำๆ


"ทำอะไร...?"


คนโดนจิ้มเอ่ยถามแม้ไม่ผินหน้ามาหา น้ำเสียงฟังดูงัวเงีย ท่าทางจะยังไม่ตื่นดี


"นาย"


ยาม ไร้อาภรณ์ปิดบัง หลายๆอย่างที่ไม่เคยได้เห็นในยามปกติก็ได้เห็น จางฉี่หลิงมองหลังคอของคนข้างกายบนฟูกหลังเดียวกัน จุดดำเม็ดเล็กๆนี่เขาไม่เคยเห็นมันมาก่อน


อาจเป็นเพราะฤดูร้อน ของหังโจวปีนี้มุ่งมั่นทำร้ายทำลายทั้งร่างกายทั้งสติสตังค์ที่ต้องตั้งมั่น ปานหินผาของเถ้าแก่อู๋มากเกินไปจนทนไม่ไหว เมื่อวานเจ้าตัวถึงกับตบะแตก สั่งให้ลูกน้องเจ็ดร้อยหยวน(เห็นว่าขึ้นเงินเดือนให้แล้ว ไม่รู้ทำไมคนๆนั้นถึงยังร้องไห้)ไปเหมาไอติมจากร้านสะดวกซื้อมาแช่เต็มตู้ เย็น ส่วนตัวเองก็บอกเขาว่าจะออกไปข้างนอกสักพักทั้งๆที่แดดจ้าจนผิวแทบไหม้


เมื่อดวงตะวันเริ่มคล้อย ฟ้าทอสีส้มและแดดแผดเผาอ่อนกำลัง อู๋เสียก็กลับมา พร้อมกับผมที่สั้นกว่าเดิม


"ไว้ ยาวแล้วมันร้อน ฉันเองก็ยุ่งๆจนไม่ได้ตัดตั้งนาน แบบนี้น่าจะเย็นขึ้นนิดนึงล่ะมั้ง" คนตรงหน้าดูอารมณ์ดีขึ้น ก่อนเดินมาหาเขาที่นั่งข้างหน้าต่าง ลูบเส้นผมสีดำที่เริ่มยาวจนดูทิ่มหูทิ่มตา


"นี่ไม่ร้อนบ้างรึไงเสี่ยวเกอ?"


เหงื่อผุดพรายบนไหปลาร้า เสื้อกล้ามสีขาวเปียกชื้นชวนเหนอะหนะ ใบหน้านิ่งงันปานรูปสลักหิน





...ร้อน...




คือคำตอบที่เขาไม่ได้ตอบออกไป



เฉก เช่นเดียวกับหลายๆเรื่องที่ผ่านมาสำหรับคนใบ้จาง หากไม่ตอบสนองต่อสิ่งต่างๆรอบตัวด้วยความเมินเฉยแสนเย็นชา เขามักใช้การกระทำอันคาดเดายากแทนคำตอบ



หรือบางครั้ง...แค่สายตา






ครั้น ประตูร้านปิดลงและลูกจ้างคนสนิทของอู๋เสียกลับไป ความปรารถนาที่คนสองคนมีตรงกันก็ดำเนินไปตามแต่ที่มันควรจะเป็น เริ่มบรรเลงอย่างเรียบง่ายทว่าแผลงฤทธิ์ดุดันตามเสี้ยววินาทีที่ผันผ่าน


ความ เหนื่อยล้าทำให้อีกฝ่ายหลับลึกไปอย่างง่ายดาย เจ้าสกุลจางผู้แกร่งกล้ายามลงกรวยโอบอ้อมแขนรอบร่างอีกฝ่าย ให้ลมหายใจสม่ำเสมอจากโลกทั้งใบรินรดบนลำตัวกิเลนพาดผ่านบ่า


ถ้า ไม่ใช่เพราะว่าหลับใหลเสียจนคลายอ้อมแขนลงหรืออู๋เสียนอนดิ้นจนพลิกตัวออกไป นอนหันหลังให้ จางฉี่หลิงอาจจะไม่ได้ใช้แสงแดดแรกของวันสำรวจหลังคอของอีกฝ่าย เรือนผมที่ปกติปกปิดไฝเม็ดนั้นคงจะหายไปเมื่อบ่ายวานนี้นี่เอง





"ทำอะไร...?"



"นาย"



ปลายนิ้วเขี่ยจิ้มแน่นิ่งที่ต้นคอ



"มีไฝอยู่ตรงนี้"



บังเกิดความเงียบชั่วครู่ ก่อนอู๋เสียจะยกมือขึ้นลูบๆบริเวณที่นิ้วของเขาเที่ยวไล่วนไปมา "มีตรงนี้ด้วยเหรอเนี่ย"


"นายไม่รู้?"


"อื้ม ไม่เคยมีคนทักฉันมาก่อน คนที่บ้านก็ไม่เห็นพูดเลยสักครั้ง"


ในที่สุดคนผมสั้นก็หันหน้ามา



"ถ้านายไม่บอก ฉันคงไม่รู้"






...'ถ้านายหายไป อย่างน้อยฉันจะรู้'...






ประโยคหนึ่งที่คนๆนี้เคยพูดไว้นานมาแล้วช่างคล้ายคลึงกับคำพูดตอนนี้ สร้างความรู้สึกแปลกประหลาดบางอย่างในใจ


คนๆ นี้คิดว่ารู้เรื่องของเขาดีกว่าใคร ถ้าไม่รู้ก็จะดั้นดนจนดื้อด้านเพื่อให้รู้ ใช้สิบปีที่เขายอมแลกที่เบื้องหลังประตูสำริดนั่นไปกับเรื่องของตัวเขาเสีย เองทั้งที่ไม่เห็นความจำเป็นเลยสักนิด


ทั้งที่แสนรู้แสนพยายาม ขุดคุ้ยซะขนาดนั้น อู๋เสียคงไม่นึกว่าตัวเองจะมีแง่มุมที่เจ้าตัวไม่รู้ว่าตัวเองมีเหมือนกัน แม้จะเป็นเรื่องเล็กๆน้อยๆอย่างพื้นที่เล็กๆหลังต้นคอตัวเอง


เล็กน้อยนักเมื่อเทียบกับตัวตนของเขาที่คนไร้เดียงสาตรงหน้าทุ่มเททุกอย่างและพาเขากลับมายัง'บ้าน'


ชีวิต ของเขาที่เคยตั้งมั่นว่าจะทิ้งโลก ทิ้งทุกอย่าง หายใจเพื่อภารกิจเพียงหนึ่งเดียว กลับมีคนๆหนึ่งยินดีหยิบยื่นโลกให้ทั้งใบ ไม่เพียงเชื่อมสายสัมพันธ์ที่เคยสะบั้นไปแล้วไว้กับโลกนี้อีกครั้ง


แม้ผ่านไป10ปี คนๆนี้ก็ยังกลับมา และสานต่อความสัมพันธ์ของเขากับโลกที่เคยห่างร้างลาไปให้ตึงแน่นดังผ้าไหมทอที่รัดรึง


อีกครั้ง อีกครั้ง และอีกครั้ง





เพื่อตอบแทนคนตรงหน้า




เพื่อค้นหาและเรียนรู้'โลก'ใบนี้ให้มากขึ้นเท่าที่ก้อนหินก้อนหนึ่งจะทำได้




เทียนเจินอู๋เสียได้แต่นอนงุนงงเมื่อถูกแขนแข็งแกร่งดึงเข้ามาสู่อ้อมอกอีกครั้ง อ้าปากเหมือนจะเอ่ยหากสุดท้ายก็เลือกที่จะเงียบ



ริมฝีปากอุ่นจรดลงบนตำแหน่งที่ไฝเม็ดนั้นครอบครอง







หากอู๋เสียใช้เวลากว่าค่อนชีวิตเรียนรู้เพื่อเป็น'โลก'ให้เขา




เขาก็ยินดีที่จะใช้เวลาทั้งชีวิต เพื่อเรียนรู้ เฝ้าดูทุกแง่มุมของโลกใบนี้เช่นกัน











และจะขอจดจำมันไว้ แม้สุดท้ายวันจากลาจะมาถึง














Fin.





-----------------------------------------------------------------



Talk





เมากาวเพราะในทวิตพูดกันเรื่องไฝหลังคอท่านประมุขที่มีคนอุตส่าห์ไปเห็นในรูปถ่ายที่ฮีไปเริงร่าที่พม่าอยู่ค่ะ
//เมาอะไรไม่เมา ดันมาเมาจนคลอดฟิคเพราะไฝนพซซ. ถถถถถถถถถถถถถถถถถถถถถถถถถถถ

เรา พยายามแล้วที่จะเขียนให้มันอ่านรู้เรื่อง แต่ว่านะ......ไม่รู้ว่าถ่ายทอดสิ่งที่คิดไว้ได้ครบมั้ย ไม่ได้เขียนฟิคเองนานแล้ว นี่เป็นเรื่องที่สองของเต้ามู่แถมใช้เวลานานมาก ไม่ตอบไม่ส่องทวิตมาหลายชม.เพราะมาเขียนนี่แหละ....//ปิดหน้าร้องไห้ฮรือออ ออออออออ

เราอยากให้เสี่ยวเกอได้รู้เรื่องของนายน้อยที่ตัวนายน้อยเองไม่รู้บ้างค่ะ คงเป็นความเห็นใจนายน้อยหน่อยๆแหละที่ต้องวิ่งไล่ตามสืบเรื่องของผู้ชายปาก หนักชอบอมพะนำคนนึงที่โผล่ๆแล้วหายอยู่เรื่อย ก็เลยอยากให้เสี่ยวเกอได้เป็นฝ่ายที่"หัดเรียนรู้โลก"บ้างค่ะ แต่อาจสื่อมาไม่ค่อยดีเท่าไหร่ เลยต้องมานั่งเขียนทอล์คตรงนี้ไงเล่า!!!
//หัวโขกพุงนายน้อยเด้งกะเพื่อม

อีก อย่างคือเราอยากให้เสี่ยวเกอได้สัมผัส"ความฟิน"ที่ได้ค้นพบอะไรอย่างที่นาย น้อยรู้สึกด้วยค่ะ (ว่าง่ายๆคือความฟินเวลาเสือกแล้วได้รู้จนได้นั่นเอง lol) เพราะงั้นความรู้สึกประหลาดๆที่เสี่ยวเกอรู้สึกก็คงเป็นแบบนี้เอง เหมือนได้ตอบแทนนายน้อยบ้างประมาณนั้น

จะ ว่าไปตอนเขียนฟิคนี้ก็ใช้คำว่า'โลก'บ่อยเหลือเกิน ติดใจมาจากฟิคก่อนแน่ๆค่ะ 5555 เราว่า'โลก'มันไม่ใช่คำที่จำกัดความแค่ในแง่พื้นที่ที่เราอาศัยอยู่ แต่หมายถึงทุกสิ่งทุกอย่างที่เรารู้สึกผูกพัน เป็นส่วนหนึ่งของมัน เพราะงั้นโลกของจางฉี่หลิงก็คงเป็น'โลกทั้งใบที่มีตัวตนของนายน้อยอัด แน่นอยู่เต็ม'แน่ๆค่ะ
//ตีพุงนายน้อยดังเพี๊ยะๆ