1/8/58

[OS] แมวเลี้ยง (ผิงเสีย)


 

[OS] แมวเลี้ยง (ผิงเสีย)




By Fenrir








ลูกน้องผมคนหนึ่งเปรยกับผม... เขาร่ำลือกันหนาหูในฉางซาว่าเถ้าแก่อู๋เลี้ยงเสือดำตัวหนึ่งไว้ข้างกาย

พอได้ยินแบบนั้นครั้งแรกผมเกือบหลุดขำ ต้องตีสีหน้าเรียบติดรำคาญว่าไอ้บ้าหน้าไหนมันเที่ยวเอาเวลาไปปล่อยข่าวไร้ สาระแบบนี้แทนที่จะทำงาน

ผมไม่ได้ปฏิเสธสิ่งที่ลูกน้องคนนั้นเล่าให้ ผมฟัง คนที่ทำงานด้วยที่หังโจวหรือใกล้ชิดผมก็น่าจะรู้เห็นทุกอย่างหรือระแคะระคาย มาบ้างว่าข่าวนี้มีมูล แต่ที่ลือกันก็ไม่ถูกต้องนัก เพราะที่เถ้าแก่อู๋เลี้ยงไว้จริงๆน่ะ...

ดวงตาสีเหลืองเป็นประกายวูบวาบจ้องมาทีผม ผมเริ่มได้ใจโบกไม้ในมือซ้ายขวาเป็นจังหวะดังฟับๆๆ ขยับผ่อนหนักผ่อนเบาบ้างเพื่อหลอกล่อ

“เมี้ยวๆๆ มานี่เร็ว มี้ๆ โธ่เอ๊ย เสี่ยวเกอ มาช่วยฉันตรงนี้ที”

“...”

ดวงตาราบเรียบสบมองแล้วเบือนหนี

...มันแมวจอมยุ่งสองตัวชัดๆ!







คืนนั้นผมแค่ทนนิ่งดูดายไม่ได้ตอนที่เห็นเจ้าตัวเล็กนี่หลบฝนอยู่ในกองขยะ มองไปรอบๆก็เห็นนั่งสั่นอยู่เดียวดาย ข้างๆเป็นกล่องกระดาษเปียกๆ มีร่างลูกแมวขนาดใกล้เคียงกันนอนกองๆอยู่สองสามตัว ไม่ขยับ ไม่ร้อง ไม่หายใจ

พลันสบตากันเข้า รู้สึกเหมือนเดจาวูกับอะไรบางอย่าง สุดท้ายเลยจับตัวกลับมาบ้าน ทั้งที่เหนื่อยจากการเดินทางแต่ผมก็จัดการเช็ดขี้ตาล้างเนื้อล้างตัวเจ้า ก้อนขนกลมๆด้วยผ้าขนหนูให้สะอาด ดึกป่านนี้ร้านสัตว์เลี้ยงน่าจะปิดกันหมดแล้ว การส่งผู้ชายใส่สูทตัวโตๆหน้าโหดๆไปยืนเคาะประตูรัวปังๆเพื่อซื้อของออกจะ โหดร้ายกับเจ้าของร้านไปสักหน่อย เลยใช้ให้ลูกน้องไปซื้อนมแพะที่ร้านสะดวกซื้อมาแทน

ผมอยู่ในครัวกับ ลูกแมวสีขาวหม่นที่ส่งเสียงจามเล็กๆเหมือนไม่มีแรงข้างๆเท้า พยายามแกะฝาอยู่นานแต่บิดยังไงก็คลายเกลียวไม่ได้สักที ผมว่าผมแข็งแรงขึ้นจากเทียนเจินอู๋เสียคนเก่าเมื่อสิบปีที่แล้วแล้วนะ แค่ฝาขวดนมพลาสติกธรรมดาๆทำไมถึงเถ้าแก่อู๋ถึงเปิดไม่ได้วะ! โรงงานแม่งกะผลิตแล้วปิดตายไม่ต้องให้ลูกค้าได้กินรึไงกัน!

จังหวะนั้นเอง ผมรู้สึกได้ถึงความเคลื่อนไหว เมินโหยวผิงยืนพิงกรอบประตู มองผมเงียบๆ นึกขึ้นได้ว่าผมลืมโทรบอกเขาว่างานคราวนี้ติดพันนานกว่าที่คิดไว้ คงจะกลับมากินข้าวเย็นด้วยไม่ได้ ไม่ต้องเดาผมก็รู้ว่าเขาต้องรอ ถ้าไม่ได้กินข้าวด้วยกันอย่างน้อยก็ต้องเห็นกับตาว่าผมกลับมาแล้ว พฤติกรรมของเสี่ยวเกอหลังออกมาจากประตูสำริดยืนยันกับผมว่าต่อให้คืนนี้ผม ไม่ได้กลับมาบ้านจริงๆเขาก็จะนั่งรอแบบข้ามคืน ผมกลับมาบ้านได้สักพักหนึ่งแล้ว ที่เขาลงมาคงเป็นเพราะผมไม่ยอมขึ้นไปข้างบนเสียที

“มาพอดีเลย” ผมจ้ำไปหา “นี่ เปิดนี่ให้หน่อยสิ”

เมินโหยวผิงดูขวดในมือผม แล้วมองต่ำลงไปอีก ได้ยินเสียงประกายไฟแล่บเปรี๊ยะๆระหว่างขาของผมกับสายตาของเสี่ยวเกอ ผมไม่ได้หูฝาดไปเองแน่ๆ! พอโดนจ้องมากๆเข้า ลูกแมวก็ขู่ฟอดหางตั้ง วิ่งโซซัดโซเซไปหลบข้างหลังตู้

เขาก็หันกลับมา คว้าขวดนมในมือผมมากดฝ่ามือลงบนฝาแล้วบิดดังก๊อก! นี่ต้องกดฝาก่อนหรอกเหรอ! ฉลากแม่งไม่เห็นบอกอะไรเลย!

“นายจะเลี้ยงไว้?”

ผม ส่ายหน้า “เปล่าๆ ฉันแค่รู้สึกว่าปล่อยไว้ตากฝนแบบนั้นไม่ได้” ทีเหลือคงให้ลูกน้องจัดการเอาตัวไป ผมมีภาระของเถ้าแก่อู๋มากพออยู่แล้ว คงจะเก็บอะไรมาเลี้ยงไม่ได้ ทรมานสัตว์เปล่าๆ

“อย่าเปลี่ยนใจ...”

ผมเงยหน้าขึ้นมากะจะถามว่าทำไม แต่เสี่ยวเกอก็หายไปแล้ว

ผมวางจานนมไว้ใกล้ๆตู้ ดูลูกแมวที่ค่อยๆคลานออกมาสวาปามนมอย่างตายอดตายอยาก กระทั่งนมหยดสุดท้ายเกลี้ยง ผมจึงเอื้อมมือจะหยิบจานไปล้าง

มันอาศัย จังหวะนั้นทำตาปรือเอาหัวไถหลังมือ ผมรู้สึกจั๊กจี้เลยลองเอานิ้วเชี่ยๆใต้คางมันตอบ ก้อนขนสีขาวส่งเสียงครางครืดๆเหมือนมอเตอร์ ดวงตาใสสีดำคู่ใหญ่จับจ้องมาไม่แม้แต่จะกะพริบ

นั่นเป็นครั้งแรก ที่ผมได้เห็นดวงดาวนับล้านดวงส่องประกายระยิบระยับอยู่ตรงหน้าในระยะห่างไม่กี่เซน

โดยไม่ทันรู้ตัว ผมไล่มือไปตามเนื้อตัวของมันช้าๆ....







ถ้าใครเที่ยวลือว่าหลานราชาสุนัขอย่างอู๋เหลาโก่วตกเป็นทาสรองอุ้งตีน(ลูก)แมวนี่ล่ะก็ รู้ถึงไหนอายถึงนั่น!

แต่ ปู่คงไม่เก็บมาคิดเล็กคิดน้อยแล้วมาเข้าฝันผมเพราะเรื่องนี้หรอกมั้ง ก็นะ ผมไม่มีทางเป็นทาสแมวอะไรแบบนั้นสักหน่อย ต่อให้เจ้าเหมียวนี่ออกจะ....เฮ้ย!

เสียงแควกจากด้านหลังทำให้ผม สะดุ้งสุดตัว หันไปมองก็เจอกับเจ้าตัวแสบที่ผมพูดถึงอยู่กำลังประทุษร้ายกระดาษจารึกโบราณ ที่ว่างบนชั้นไม้กลางร้านอย่างสนุกสนาน นั่นไม่ใช่ของเล่นนะเว้ย! ผมรี่เข้าไปคีบหลังคอเจ้าตัวแสบออกมาทั้งๆที่เล็บยังกางค้างอยู่ ผลคือกระดาษที่เป็นริ้วเพิ่มขึ้นอีกหลายส่วน ชิบหาย

ผมรีหันซ้ายขวา ไปหยุดที่คนหน้าตายที่อีกฟากของห้อง

"เสี่ยว เกอ...." ผมส่งเสียงอ่อน ในมือมีลูกแมวที่ขยับแขนขาเป็นพัลวันจนดูตลก ไม่รู้จะจับวางไว้ตรงไหนดี สถานการณ์แบบนี้ถ้ามีนายอ้วนอยู่อาจจะขำก๊ากไปแล้ว แต่ผมกลับหัวเราะไม่ออก

เสี่ยวเกอกำลังงอนผม

ใช่ คุณอ่านไม่ผิดหรอก จางฉี่หลิงกำลังงอนผม เขาเป็นแบบนี้มาเกือบอาทิตย์แล้ว เอาแต่นั่งบนระเบียงมองออกไปเรื่อยเปื่อย(ซึ่งคงไม่ได้มีอะไรให้มองเป็น พิเศษหรอก หมอนี่แค่ไม่อยากมองในบ้านมากกว่า) พอทักพอชวนคุยอะไรก็ไม่มองไม่ตอบ ปกติแม่งก็เป็นพวกเงียบมีลับลมคมในอยู่แล้ว แต่คราวนี้นี่ถึงกับเมินกระทั่งเวลาที่ผมเอ่ยปากขอความช่วยเหลือ เจอไม้แข็งของเมินโหยวผิงแบบนี้เข้าผมก็ไปไม่เป็นเหมือนกัน

“มี้!”

ส่วน ต้นเหตุ...ใครจะไปรู้กัน เจ้าตัวเล็กที่ส่งเสียงแหลมๆตอนนี้หันมาเกาะขากางเกงผมแน่น ผมตั้งชื่อให้มันว่า ‘เสี่ยวไป๋’ (ขาวน้อย) หลังสินค้าเสียหายแถมวุ่นวายจนไม่เป็นอันทำงาน ผมอพยพพร้อมแมวหนึ่งตัวลงมาหาของกินล่อในห้องครัว โชคดีที่ยังพอเหลือนมแพะกับอาหารแมวอยู่สามสี่กระป๋อง

เสี่ยวไป๋หัน มาตะกุย งับๆนิ้วเท้าผมเล่นแทน ยิ่งได้กลิ่นอาหารยิ่งเล่นหนักคล้ายกับจะเร่ง “รู้แล้วว่าหิว นี่กำลังเตรียมให้แกอยู่ไง ไปนั่งรอดีๆตรงโน้นไป”

ผมคงลืมไปว่านี่ มันแมว ไม่ใช่หมา แถมยังเป็นลูกแมวอายุไม่กี่สัปดาห์ ขนาดลูกหมาของปู่ที่ภูมิใจ เอามาอวดเกินสามครั้งก่อนและหลังมื้ออาหารว่าฉลาดนักฉลาดหนา กับผมนี่ยังแทบไม่มีตัวไหนฟังเลย ยกเว้นตัวนึงที่ตอนปู่ได้มาใหม่ๆผมก็ว่าน่ารักดี (น่ารักกว่าซันชุนติงในหลายๆแง่) แต่ผมเลิกญาติดีกับมันไปหลังหมั่นเขี้ยวเคี้ยวหนังสือที่ยืมมาจากห้องสมุด โรงเรียนผมจนเปียกน้ำลายยับเยินทั้งกอง ผมต้องควักเงินแต๊ะเอียได้จากครอบครัวตอนปีใหม่มาชดใช้

แต่ถึงจะไม่ ได้ชอบหรือเกลียดหมาเป็นพิเศษ(จริงๆนะ!) ก็ใช่ว่าผมจะหันไปพิศวาสอะไรแมว ถึงขนาดต้องมาดูแลเองอะไรเอง ไม่ยอมให้ลูกน้องคนไหนกระทั่งหวังเหมิงมาทำให้ ที่ตั้งชื่อให้ก็เพราะจะได้เรียกสะดวกขึ้นเท่านั้น ระหว่างที่หาคนไปรับเสี่ยวไป๋ไปเลี้ยงเองไม่ได้ อย่างน้อยอยู่ภายใต้ร่มเงาของเถ้าแก่อู๋ก็ต้องอยู่ดีกินดีไม่ให้เสียชื่อไม่ ว่าจะแมวหรือคน ลูกน้องผมพวกนั้นมันมือหนัก แต่ละคนก็มีแต่เถื่อนๆเอาไว้ประจัญบานแบบลืมตายตอนลงกรวย ถ้าจะให้ใครดูแลก็ต้องเป็นผม (หวังเหมิงถูกผมใช้ให้ไปสืบข่าวคราวข้างนอกหลายวันก่อน ป่านนี้ยังไม่กลับ)

ที่จริงมีอีกคนที่น่าจะทำงานละเอียดละอ่อนแบบนี้ได้ แต่ว่า....



“นายเห็นเสี่ยวไป๋บ้างไหมเสี่ยวเกอ?”

“...”

“แฟ่!”




‘ฮัล โหลๆ ฉันเอง วานนายช่วยเช็ดตัวเสี่ยวไป๋ให้ที ฉันยังกลับไปไม่ได้—ไอ้พวกงี่เง่า!!! เรื่องแค่นี้คิดกันไม่เป็นหรือไงหา ทำงา—ตรู๊ด ตรู๊ด ตรู๊ด’

“...”

“แฟ่!”




“รอเดี๊ยวสิ ขอฉันเคลียร์บัญชีตรงนี้อีกนิด เสี่ยวเกอ นายให้ข้าวเสี่ยวไป๋หน่อยได้ไหม ไม่ต้องเยอะนะ แค่สามช้อนพูนพอ”

“...”

“งั่มๆๆๆๆ”

“...”

“แฟ่!”





“เสี่ยวไป๋ ฉันมีของมาฝาก! อ๊ะ เสี่ยวเกอ นายดูนี่สิ เสี่ยวฮัวไปญี่ปุ่น ซื้อขนมมาฝากตั้งเยอะแยะ มีนี่ให้เสี่ยวไป๋ด้วย”

“...”

“เมี้ยว! เมี้ยว!”

“...”

"เจ้านาย มีแขกมาฮะ"

"ฉันรู้แล้ว เดี๊ยวมานะเสี่ยวเกอ ดูเสี่ยวไป๋ให้แป๊บนึง"

"..."

"..."

"..."

“..........แฟ่!”




ไม่ กี่วันมานี้ แผ่นหลังของจางฉี่หลิงดูห่างเหินไม่เหมือนเคย เขาไม่สบตา ไม่พูดคุยกับผมนานแล้ว นอนร่วมห้องก็ยังขยับไปชิดขอบเตียง ถ้าเขยิบเข้าไปใกล้ก็พาลลุกขึ้นไปนอนข้างนอกไม่ปริปากสักคำ ทิ้งให้พวกผมนอนหนาวซุกตัวอยู่ในผ้าห่มกันสองคน

ผมลูบหัวเล็กๆสีดำขน ปุกปุยอย่างเพลินมือ เจ้านี้เวลาอยู่นิ่งๆค่อยน่ารักหน่อย ดวงตาสีดำหวานใสและเสียงครางครืดในลำคอทำให้รู้สึกผ่อนคลายจนเผลอยิ้ม แต่ลึกๆแล้วผมก็ยังสงสัย ไม่เข้าใจว่าจริงๆว่าเสี่ยวเกอไปกินอะไรผิดสำแดงมาถึงจงใจเลี่ยงผมแบบนี้

ตอน นี้ปล่อยให้อารมณ์เสี่ยวเกอเย็นลงก่อนแล้วกัน ไว้วันหลังผมจะลองถามๆเขาดู ส่วนเรื่องเสี่ยวไป๋ ถ้าไม่มีคนสนใจจริงๆล่ะก็น่าจะลำบาก คนส่วนมากชอบรับตัวอะไรต่อมิอะไรมาเลี้ยงตอนที่มันยังเล็กอยู่ ถ้าโตไปอีกหน่อยผมว่ามันน่าจะหาบ้านใหม่ลำบาก....

เอาเถอะ ยังไงผมก็เลี้ยง “แมว” อยู่แล้วตัวนึงนี่หน่า

จะเพิ่มเจ้าตัวเล็กมาอีกสักตัวคงไม่เกินกำลังรับมือผมเท่าไหร่มั้ง







ความคิดและจิตใจของมนุษย์เป็นสิ่งน่ากลัวที่สุด ยิ่งกว่าบ๊ะจ่าง กับดัก กลไก หรือภูตผีตนใดๆ

ตั้งแต่ จำความได้ เขาถูกสอนสั่งและผ่านการฝึกฝน ผจญอันตรายมานักต่อนัก ทุกวิกฤตินั้นจางฉี่หลิงสามารถฟันฟ่าและเอาตัวรอดได้หากตั้งมั่นในความสงบ รับมืออย่างมีสติและไร้หัวใจ เพื่อให้ภารกิจสำเร็จ เพื่อรักษาความลับของสกุลจาง

บัดนี้หน้าที่นั้นลุล่วงไปแล้ว ความหมายในการมีชีวิตอยู่ในฐานะตัวแทนแห่งสกุลจางอันตรธานหาย หลังสิ้นสิบปีที่เฝ้าประตูท่ามกลางความมืด นับหยดน้ำต่างนาฬิกานับถอยหลังมานานแสนนาน จางฉี่หลิงเหลือสัญญาเพียงหนึ่งที่ชี้ทางและมอบความหมายใหม่ให้มีชีวิตอยู่ ต่อ

จางฉี่หลิงเตือนตัวเองอยู่บ่อยครั้ง ...ต้องระวังความคิดตัวเองให้มาก หากตั้งใจจะใช้ชีวิตที่เหลือบนโลกใบนี้อีกครั้ง...

เมื่อสบดวงตาสีทองนั้นครั้งแรก เขาไม่อาจสลัดภาพเดรัจฉานสองตัวประจันหน้ากัน

หนึ่งคือเสือดำ อีกหนึ่งคือเสือขาว

สัตว์ ร้ายสองตัวเดินวนระแวดระวัง อวดเขี้ยว กางกรงเล็บ รอจังหวะโรมรัน มีอู๋เสียอยู่ตรงกลางเป็นตัวประกัน ยืนยิ้มไม่รู้เรื่องรู้ราวเหมือนกำลังนั่งดูคลิปสัตว์เลี้ยงที่หยอกล้อกัน แรงๆทางอินเตอร์เน็ต

เสียงลมหายใจเข้าออกสม่ำเสมอบอกจางฉี่หลิงให้ รู้ว่าอีกฝ่ายหลับไปแล้ว เขาค่อยพลิกตัวหันกลับมาอย่างเชื่องช้า ไม่ใช่ว่าเขาไม่มองอู๋เสีย แต่ทุกครั้งที่เขาทำอีกฝ่ายมักจะไม่สังเกต ส่วนที่รู้เห็นทุกอย่างก็ไม่พ้น...

ดาวสีเหลืองเป็นประกายโดดเด่น สองดวงบนใบหน้าขาวใต้เสี้ยวแสงไฟสลัวๆปรากฏแทนที่ใบหน้าของอู๋เสีย แววยิ้มเยาะประหลาดโลดแล่นระเริงฉายในดวงตาคู่นั้น แยกเขี้ยวโชว์ฟันขาว เปล่งเสียงคำรามต่ำๆลอดไรฟัน

"แฟ่...."

เทียนเจินอู๋เสียก็ ยังเป็นเทียนเจินอู๋เสียวันยังค่ำ เขาอาจมองเห็นอะไรหลายๆอย่างได้กระจ่างขึ้น แต่ก็ยังไม่ทะลุปรุโปร่งเท่า การมองคนอาจพัฒนาขึ้นมากอย่างน่าประทับใจแต่การมองข้ามรูปลักษณ์ที่ดูอ่อนแอ ไร้พิษภัยนั้นถือว่าสอบตกอยู่ดี

จางฉี่หลิงหรี่ตา โต้ตอบกลับไปด้วยภาษากายที่นักล่าล้วนรู้กันเอง




เสือสองตัวอยู่ถ้ำเดียวกันไม่ได้อย่างไร





เสี่ยวเกอกับเสี่ยวไป๋ย่อมอยู่ร่วมกันใต้ชายคาบ้านของเถ้าแก่อู๋ไม่ได้เหมือนกัน!

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น