1/8/58

[OS] อดีต (ผิงเสีย)





[OS] อดีต (ผิงเสีย)





By Fenrir















ผมมีหลายร้อยหลายพันเรื่องที่อยากเล่าให้เขาฟัง


สิบปีที่เขาหายไปผมทำอะไรบ้าง พบคนแบบไหนมา ผ่านการฝึกฝนสุดโหดของเฮยเสียจื่อมาได้ยังไง ลงดินไปมากมายเท่าไหร่ ขึ้นเหนือล่องใต้จนกวาดรวบและขยายเขตอิทธิพลของอาสามไปขนาดไหน จนถึงวันที่ผมและทุกคนเคลื่อนขบวนไปหยุดหน้าประตูที่สลักอยู่ในความทรงจำผม มานานแสนนาน ผมอยากให้เขาได้รู้ทั้งหมด


หากมีอยู่เรื่องเดียวที่ผมอยากถาม






“จางฉี่หลิง นายเคยชอบฉันบ้างไหม?”



เมินโหยวผิงหันกลับมา มองผม ดวงตาของเขากระจ่างราบเรียบเหมือนผิวน้ำในแอ่งหลังหมดฝนโปรย



“...ฉันเคยชอบนาย”





ผมเบิกตากว้างเหมือนตัวตลก คำตอบของเขาอยู่เหนือความคาดหมายไปมาก ผมเคยนึกจินตนาการนับครั้งไม่ถ้วนว่าเมินโหยวผิงจะมีปฏิกริยาอย่างไรกับคำ ถามเช่นนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเจ้าของคำถามนั้นเป็นผม


เขาอาจนึกไม่ถึง ไม่รู้สึกอะไร เมินเฉยเหมือนผมไม่ได้อยู่ตรงนั้น เดินหนีไปดื้อๆ หรือทำท่าทำทางเหมือนคำถามของผมช่างไร้สาระกระทั่งไม่ควรหลุดมาจากปาก เถ้าแก่สาม


แต่ผมไม่เคยคิดถึงความเป็นไปได้ว่าคำตอบจะออกมาในรูปนี้ ทุกอย่างในหัวขาวโพลนและว่างเปล่า ทำอะไรไม่ได้ คิดอะไรไม่ออก


ผมหลุบตา ปล่อยให้เสียงของเมินโหยวผิงค่อยๆซึมซับเข้ามาในหัว สวนทางกับความเจ็บปวดที่เริ่มซึมผ่านปากแผลเก่าจากวันวานที่เคยไร้เดียงสา ของผม


หนึ่งคำถามที่คาอยู่ในใจมานานนับหลายปี บัดนี้ผมได้คำตอบจากปากเมินโหยวผิงแล้ว แต่ก็อดไม่ได้ที่จะต้องกลั้นใจกดความรู้สึกตีบตันบางอย่างที่จุกในลำคอ มองภาพคนที่ผมลงทุนลงแรงพากลับมาจากฉางไป๋ซานกำลังยกเป้สัมภาระใบใหญ่ขึ้น สะพายหลัง ตั้งท่าจะเดินออกไป


เมื่อก่อนเขาคงเห็นผมเป็นแค่เพื่อนคนหนึ่งที่ผ่านเข้ามาในชีวิตช่วงหนึ่งของเขา เป็นคนที่พานพบและเข้ามาเกี่ยวโยงกันเพียงชั่วคราวเพื่อบรรลุบางอย่างและ จากลากันเมื่อถึงเวลา


หากตอนนี้ผมไม่รู้แล้วว่าสำหรับเขา สิบปีที่ผ่านมานี้ ผมเป็นอะไร


...คนที่เขาเคยชอบ...จะมีความหมายอื่นใดไปได้อีกนอกจากว่าจะไม่สลักสำคัญแล้ว


หรือร้ายที่สุดเท่าที่ผมคิดออก เขาเกลียดผม ซึ่งนั่นแย่ยิ่งกว่าการปฏิเสธตรงๆอีก


หางตาผมร้อนผ่าวเหมือนจะร้องไห้ นี่ผมกำลังหวังอะไรจากสิ่งที่ไม่มีทางเป็นไปได้อยู่กัน แต่ลึกๆใจผมก็ไม่อยากให้เมินโหยวผิงลำบากใจไปมากกว่านี้


เมื่อเรากลับมาพบกันอีกครั้ง ผมเผชิญหน้ากับเขาพร้อมความตั้งมั่นที่จะบอกกับเมินโหยวผิง ต่อให้ไม่ฟังผมก็จะบังคับ


ให้เขายอมรับ ให้ยอมคิดคล้อยตามผมสักครั้งว่า “ชีวิตนี้เป็นของนาย”


นี่เป็นปณิธานที่ผมอยากมอบให้เขา มันอาจเป็นความดื้อดึง เป็นหนึ่งในไม่กี่อย่างที่เหลือรอดมาถึงตัวผมในวันนี้ จะป้อนมันซ้ำๆจนจำสลักลงไปในหัว ให้มันเป็นคำสาปที่ต่อให้โรคสูบวิญญาณจากสายเลือดตระกูลจางก็ลบล้างหรือทำ อะไรคำพูดผมไม่ได้ เมินโหยวผิงควรเป็นอิสระเสียทีจากสิ่งที่ตระกูลและคนรุ่นก่อนขีดเส้นวางชะตา ให้เดิน ผมต้องการให้เขาพึงจดจำอยู่เสมอว่าโลกนี้ไม่ใช่สิ่งแปลกหน้าเลย ตราบใดที่เขามองชีวิตตัวเองเป็นสิ่งที่เขาเท่านั้นกำหนดได้


และนับตั้งแต่วินาทีที่พวกเราพาตัวเมินโหยวผิงออกมาจากประตูสำริด ในสายตาของเถ้าแก่สาม ภาระหน้าที่ทั้งหมดในฐานะจางฉี่หลิงได้สูญหายไปกับสิบปีแห่งความทรมานทั้ง เขาและผมจนหมดสิ้น


ไม่เหลือปลอกคอจากอดีตล่ามเราไว้อีกแล้ว มีแต่ปัจจุบันและอนาคตที่ต้องก้าวไปหา


‘ไม่ว่านายอยากไปไหน อยากทำอะไร นายเลือกได้เองแล้วนะ’


ผมเคยเอ่ย เห็นได้ชัดว่าเขาฟังอยู่ แต่ไม่ได้พูดอะไร


‘แต่ถ้ายังคิดไม่ออกว่าจะทำอะไรต่อ นายมาอยู่กับฉันก่อนก็ได้ จะอยู่นานเท่าไหร่ก็ได้ก็แล้วแต่นาย ถ้าขาดเหลืออะไรก็บอก’


เขาควรจะได้พัก มีบ้าน มีชีวิตที่สุขสงบเหมือนคนทั่วๆไป ไม่ต้องเสี่ยงอันตรายในกรวย ไม่ข้องแวะกับอาณาจักรคนตายอีก หรือกระทั่งมีครอบครัว...


พอเขามีท่าทียอมรับในอิสรภาพที่ผมเฝ้า กรอกหูเขาทุกวัน ต้องการออกเดินทางตามใจปรารถนา เป็นผมซะเองที่กำลังจะกลายเป็นตัวถ่วงชีวิตใหม่ของเมินโหยวผิง


ผมอยากรั้งเขาไว้ บอกเขาดังๆ กลบทับความตั้งใจใดๆในหัวเขาให้มิด



อยู่ที่นี่...



อยู่ที่หังโจว...



อยู่กับฉัน...



ให้โอกาสฉัน เพื่อซื้อเวลาจากนายอีกสักนิด



นี่ผมกำลังจะกลืนน้ำลายตัวเอง เป็นผู้ล่ามโซ่เส้นใหม่ต่อจากบรรพบุรุษของเขากับมือน่ะหรือ?


ทั้งที่เขาทำเพื่อผมมามาก เสี่ยงตายช่วยผมออกมา เสียสละชีวิตสิบปีเฝ้าหลังประตูเพื่อปกป้องความไร้เดียงสาของผม


นี่ผมจะโลภมากไปถึงเมื่อไหร่ จะเห็นแก่ตัวร้องขออะไรจากเขาได้อีก


หรือท้ายที่สุดแล้วผมจะกลายเป็นเพียงอดีต เป็นเสี้ยวความทรงจำหนึ่งในล้านที่มีอยู่มากมายในตัวเมินโหยวผิง รอวันที่เขาจะกลับไปลืมเลือนหรือละทิ้งไว้เบื้องหลัง





“อู๋เสีย”



มือของเมินโหยวผิงยกขึ้นสัมผัสแก้มของผม น้ำตาไหลตั้งแต่เมื่อไหร่นั้นผมไม่ทันได้รู้ตัว


ผมเงยหน้าขึ้น เสี่ยวเกออยู่ในชุดพร้อมออกเดินทาง โลกภายนอกและหนึ่งวงแขนโอบของผมห่างกันเพียงระยะราวห้าเมตรก่อนถึงบานประตู


ถ้าจะไป แล้วนายหยุดทำไม


นายควรรีบ ก่อนที่ฉันจะห้ามตัวเองไม่ไหว





“ฉันเคยชอบนาย”





ผมแทบร้อง หน้าชา เย็นวาบไปถึงไขสันหลัง


เมินโหยวผิง หัวจิตหัวใจนายมันทำด้วยอะไร!


นี่นายกะจะตัดรอนกันถาวรถึงขนาดย้ำความรู้สึกของนายให้ฉันฟังเชียวหรือ





“นั่นเป็นเรื่องในอดีต ฉันกลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้”





เขาละมือจากใบหน้าของผม ภาพตรงหน้าพร่ามัวจากการร้องไห้ไม่น้อย


น้ำตาอาจทำให้ผมปฏิเสธได้ว่าเมินโหยวผิงไม่ได้ยกยิ้มที่มุมปาก






“ฉันรักนาย”






แต่มันไม่ใช่ข้ออ้างที่ผมจะหลอกตัวเองว่าหูฟาดอย่างแน่นอน












หลังนิ่งค้างอยู่หลายวิ ผมพลันได้สติ รีบคว้าไหล่เขาไว้ก่อนเจ้าตัวจะหันหลังเดินออกไป


ให้ตายยังไงผมก็ต้องคุยกับเขาให้รู้เรื่องก่อน อย่ามาโยนระเบิดทิ้งแล้วจากไปง่ายๆสิวะไอ้เรือพ่วงนี่!


หลังกึ่งลากกึ่งส่งสายตาข่มขู่แบบที่ลูกน้องเถ้าแก่สามได้เห็นบ่อยๆให้มานั่งดื่มชา คุยที่โต๊ะกลมกลางร้านให้เป็นเรื่องเป็นราวก็ได้ความกระจ่าง


เมิน โหยวผิงตั้งใจออกเดินทางก็จริง แต่ไม่ใช่การไปแล้วไปลับ ไม่ใช่ความตั้งใจตัดขาดจากโลกโดยสิ้นเชิงเหมือนครั้งสิบปีก่อนที่เขามาลาผม หรือนายอ้วนก่อนไปฉางไป๋ซาน


ครั้งนี้เขามีเป้าหมายใหม่ที่เขา ต้องไปทำ เป้าหมายของตัวเอง เมินโหยวผิงบอกว่าเขาต้องไปเอาของบางอย่างออกมาจากสุสานและอีกหลายที่ เพื่อที่จะเริ่มต้นชีวิตใหม่อย่างที่ผมต้องการ


“ที่นายต้องการตะหาก” ผมแก้ “ว่าแต่ของที่นายว่ามันจำเป็นขนาดนั้นเลยหรือ งั้นให้พวกฉันเดินทางไปด้วยน่าจะดีกว่า นายอ้วนก็ไม่น่าจะมีปัญหาด้วย ลงกรวยไปถ้ามีแต่คนคุ้นเคยที่มีฝีมือจะได้ทำงานง่ายขึ้น”


เขาส่ายหน้า “งานนี้มีแต่ฉันคนเดียวที่ทำได้ คนอื่นมาก็ไม่มีประโยชน์”


เอ๊ะ ไอ้นี่ ฟังแล้วชักแปลกๆ นี่เมินโหยวผิงหมายถึงผมหรือเปล่าวะ?


ถ้าเป็นตัวผมในอดีตคงของขึ้นลุกชี้หน้าเสี่ยวเกอไปแล้ว อย่าคิดว่าบอกรักกันเมื่อกี้แล้วจะมาพูดอะไรลบหลู่เถ้าแก่สามได้นะ


ต่อให้อีกฝ่ายเป็นจางฉี่หลิง ผมก็มั่นใจว่าตัวเองมีฝีมืออยู่พอตัวแล้ว ขบวนที่ไปพาตัวกลับกลับมาจากฉางไป๋ซานก็มีผมเป็นผู้นำเอง ถ้าไม่มีน้ำยาคงไม่รอดมานั่งหน้ามึนอยู่แบบนี้หรอก


“แล้วของที่ ท่านใต้เท้าจางฉี่หลิงต้องการนักต้องการหนามันอะไรกันล่ะขอรับ ข้าน้อยเถ้าแก่สามผู้ต่ำต้อยไร้ประโยชน์ใคร่ขอความกระจ่างจากใต้เท้าได้บ้าง หรือไม่”


เมินโหยวผิงวางถ้วยชาลง


“ฉันจะไปหาแหวน”


“แหวน? พวกสมบัติเครื่องประดับในสุสานน่ะเหรอ” ผมขมวดคิ้ว ลงกรวยด้วยกันมานาน ไม่เห็นเลยว่าเสี่ยวเกอกลายเป็นคนนิยมทรัพย์สินเงินทองของสวยงามไปตั้งแต่ เมื่อไหร่?


“ในโลงของจางฉี่หลิงรุ่นก่อน มีดาบทองคำดำและแหวนอีกสองวงที่ฝั่งร่วมไปด้วย”


ผมเข้าใจในทันทีว่าเมินโหยวผิงพูดถึงอะไร ตอนที่ผมกับนายอ้วนไปช่วยเสี่ยวเกอที่ติดอยู่ในหอบ้านสกุลจาง เราพบกับโลงของ ‘จางฉี่หลิง’ นอกจากร่องรอยการฝังทรัพย์สมบัติคู่กายร่วมลงไปอย่างดาบของเมินโหยวผิง ก็ยังมีวัตถุปริศนา ซึ่งเดาจากรูปร่างก็น่าจะเป็นแหวนตามที่เขาบอกจริง


“มันเป็นแหวนหยกคู่ สืบทอดกันมาในสกุลจาง คนที่มีกรรมสิทธิ์ในแหวนคู่นั้นมีเพียงผู้ที่ได้รับเลือกให้เป็นเจ้าบ้านเท่านั้น”


...ซึ่งก็คือคนตรงหน้าผม เมินโหยวผิง จางฉี่หลิง เสี่ยวเกอของเรา... ผมคิดตาม เขาอธิบายต่อไป


“ผู้ นำสกุลจะถือครองแหวนไว้ทั้งสองวง และจะต้องมอบแหวนวงหนึ่งนั้นให้กับคู่ครองเมื่อแต่งงาน ถือเป็นธรรมเนียมปฏิบัติจากอดีตที่ลบล้างไม่ได้ เมื่อผู้ถือครองแหวนหยกสิ้นอายุขัย ผู้ที่จะนำแหวนคู่ออกมาจากนิ้วมือของพวกเขาได้ มีเพียงจางฉี่หลิงคนต่อมา”


เขาผินหน้า มองท้องฟ้าผ่านช่องหน้าต่างบานใหญ่ที่เปิดอ้ารับลม


“ฉันจะไปนำแหวนหยกคู่กลับมา”


ความเงียบโรยตัวลงระหว่างผมกับเสี่ยวเกอ ใต้หน้าฉากที่ไร้อารมณ์ผมเห็นความเด็ดเดี่ยวในดวงตาคู่นั้น


ผมคิดว่าผมควรพูดอะไรสักอย่าง ถ้าไม่ใช่เพราะประโยคถัดมา


“แล้วกลับมาสวมให้นาย นายเองก็ต้องสวมให้ฉันด้วยเหมือนกัน”


เสียง ของเมินโหยวผิงราบเรียบเหมือนพูดเรื่องดินฟ้าอากาศเหมาะสมยามลงกรวย แต่หูของผมกลับได้ยินเพียงจังหวะกลองรัวรบในอกที่ดังชัดเจนยิ่งกว่าอะไรทั้ง หมด


ผมกลั้นหายใจ ตอนนั้นเองเขาหันกลับมา เอื้อมมือทาบทับลงบนมือของผม อุณหภูมิอุ่นๆผ่านผิวกระเบื้องเคลือบของถ้วยชาเทียบกับความร้อนที่พุ่งพล่าน ผ่านสัมผัสแผ่วจางจากปลายนิ้วเขาบนผิวหนังไม่ได้แม้แต่นิด!


“หากนายว่าต้องการแบบนั้น อู๋เสีย”


จาง ฉี่หลิงวรยุทธ์ช่างร้ายกาจ! ด้วยคำพูดแค่ไม่กี่คำพลันทวีความร้อนจากมือแล่นปราดทะลุปรอทไปถึงใบหน้า หัวเหอผมเห่อร้อนระส่ำระส่ายคล้ายกำลังมีไข้


ผมแม่งรู้สึกเหมือน โดนเอาคืนจากคำถามที่ผมถามเขาไปในตอนแรก แล้วไอ้ประโยคบอกเล่าที่ทำให้คนฟังอย่างผมรู้สึกเหมือนโดนลองใจทั้งๆที่คำ ตอบนั้นก็รู้ๆกันดีมันอะไรกันหาไอ้บ้าเมินโหยวผิง


ไอ้คนขี้โกง!












“นายจะกลับมาจริงๆใช่ไหม” สีหน้าของผมคงไม่สู้ดีนัก เมื่อเขาพยักหน้าและสบตาผม คล้ายกับความกังวลที่ถ่วงอึ้งในตัวผ่อนกำลังลง


ผมถอนหายใจ ผมถือว่านั่นเป็นคำยืนยันจากคนปากหนักที่เครดิตดี เชื่อถือได้แล้วกัน


เมินโหยวผิงอยู่ในเสื้อฮู้ดตัวเก่งพร้อมข้าวของอุปกรณ์มากมาย เป็นภาพชินตาที่ผมจำได้ขึ้นใจทุกครั้งที่เขากำลังจะจากไป ทั้งคราวที่เขาเดินออกจากโรงพยาบาลไปเสียเฉยๆ หรือหันหลังให้ผมหลังการร่ำลาที่หังโจว


แต่ครั้งนี้มีสิ่งที่ต่างออกไป...


“หนึ่งสัญญา แลกกับหนึ่งชีวิตใหม่”


วงแขนกว้างที่แข็งแกร่งกว่าตาเห็นโอบผมเข้ามาจนเอนปะทะเข้ากับร่างของเขา ช่างรวดเร็วและเงียบเชียบสมเป็นยอดฝีมือ


“นายอยู่รอฉันที่นี่ อู๋เสีย”


ถ้าไม่รอแล้วฉันจะทำอะไรได้มากกว่านี้อีก? ผมได้แต่ตัดพ้อในใจ แต่แววตาที่หาได้ยากจากเมินโหยวผิงนั้นคงสะท้อนบางอย่างที่ทั้งผมและเขาต่าง ตกลงกันภายใต้ความเงียบพร้อมเพรียงกัน


ผมยืนส่งเขาที่หน้าประตู มองแผ่นหลังกว้างที่ถูกกระเป๋าสัมภาระใบโตบังจนเกือบมิด กลิ่นชาอ่อนๆที่เราสองคนดื่มยังกรุ่นกำจาย อบอวลด้วยกลุ่นอายความรู้สึกที่ทั้งแปลกหน้าและคุ้นเคยในเวลาเดียวกัน




สำหรับเขา นี่อาจเป็นการเดินทางไกลเพื่อเป้าหมายของตัวเองครั้งแรก




สำหรับผม นี่อาจเป็นการยินยอมปล่อยมือให้เขาเดินจากไปครั้งแรก




อดีตนั้นมันจบไปแล้ว ไม่ว่าเขาหรือผมก็ย้อนกลับไปแก้มันใหม่ให้เป็นดังใจไม่ได้อีก




เหลือแต่การเดินทางบทใหม่ของปัจจุบัน ในคราวนี้ทั้งเขาและผม เราจะเริ่มต้นออกเดินทางไกล ก้าวไปสู่จุดหมายปลายทางด้วยกัน




ไม่ว่าสุดสายเส้นทางอนาคตนั่นจะมีอะไรรอคอยอยู่




ขอเพียงมือคู่นี้ต่างเติมเต็มช่องว่างกันและกันด้วยมือของอีกฝ่าย






ผมไม่หวั่นเกรงหรือลังเลอะไรอีกแล้ว



1 ความคิดเห็น: