1/8/58

โฆษณารวมเล่ม DMBJ Fan Fiction '世 界' :: โลก (ผิงเสีย)


ในงาน DMBJ Only ในวันอาทิตย์ที่ 16 ส.ค. 2558 ที่จะถึงนี้ เรามีทำรวมเล่มไปวางขายด้วยนะคะ จะเป็นรวมเล่มฟิคสั้นแพร์ริ่ง "ผิงเสีย" จากนิยายจีนแปลเรื่อง "บันทึกจอมโจรแห่งสุสาน" ของสนพ.สยามค่ะ


: : Info ::


世界 [โลก]

Author : Fenrir
Fan Fiction : บันทึกจอมโจรแห่งสุสาน
Fandom : ผิงเสีย (เมินโหยวผิง x อู๋เสีย)
Size : A5, 230 p.
Price : 200 Bath



ในเล่มจะประกอบด้วยฟิคสั้นที่เคยลงในบอร์ดเต้ามู่และลงในบล๊อกนี้ทั้งหมด 11 เรื่อง (อ่านเป็นตัวอย่างก่อนได้ค่ะ)

และมีเรื่องใหม่ที่เขียนลงรวมเล่มโดยเฉพาะอีก 16 เรื่องค่ะ



และนี่ก็คือหน้าปกนะคะ นุ้งกิเลนนนนน<3








: : Contact : :


Twitter : @FenrirBass

E-mail : freedeal.fenrir@gmail.com




ก่อนหน้านี้มีเปิดแบบสั่งจองใน Google Doc คนที่ลงชื่อจองไว้ในงาน DMBJ Only สามารถไปรับหนังสือได้ที่บูธ D10 จนถึงเวลา 13.00 น. นะคะ (หลังจากนั้นจะปลดจากการจองและปล่อยขายในบูธตามปกติ)

 
คนที่สั่งจองไว้ไม่ทันไม่ต้องห่วงค่ะ เราพิมพ์เผื่อมาสำหรับวางขายในงานด้วย แต่ก็ไม่มากเท่าไหร่..../เหงื่อแตก


ส่วนสำหรับคนที่สั่งจองแบบรับทางไปรษณีย์ เราจะติดต่อกลับไปทาง E-mail ที่กรอกไว้ในภายหลังนะคะ ^ ^

อนึ่ง เราไม่มั่นใจว่าพอถึงวันงานจริงๆ มันจะเหลือให้เก็บกลับบ้านกี่เล่ม ถ้ายังเหลืออยู่ เราจะแปะแบบสั่งจองทางไปรษณีย์เพิ่มค่ะ (หรืออาจมีรีปริ้นท์ แต่คงเป็นไปได้ยากอยู่...)



แล้วเจอกันในวันงานนะคะ!


[OS] The Waiting (ผิงเสีย)






[OS] The Waiting




By Fenrir










เขาอยู่มานาน แต่ไม่ได้หมายความว่าจะอยู่ได้ตลอดไป

ผมเคยคิดว่าตัวเองจะเป็นฝ่ายจากเขาไปก่อน กลับกลายเป็นว่าตอนนี้คนที่ถูกทิ้งไว้กลับกลายเป็นผม เป็นเทียนเจินอู๋เสียในสายตาของเขาเสมอมา

ปี๊บ...ปี๊บ...ปี๊บ...

ใต้แสงไฟสลัว ผมยืนเคียงข้างเขา ลมหายใจเย็นชวนยะเยือกลอยเป็นไอขาวฟุ้งในอากาศ แต่ทั้งหมดนี้คงไม่หนาวเท่าเขาที่ต้องอยู่แต่ในนั้น

จางฉี่หลิงตายครบหนึ่งเดือนแล้ว



-



ทุกอย่างเริ่มต้นและจบลงอย่างเรียบง่าย เหมือนครั้งแรกที่เขาและผมเดินสวนกันหน้าร้านของอาสาม

คล้อยบ่ายกลางฤดูใบไม้ร่วง เสี่ยวเกอนั่งอยู่บนเก้าอี้หวาย หน้าต่างเปิดกว้างรับลมพัดเข้ามาเต็มที่ มู่ลี่สะบัดส่งเสียงกระทบกัน ผมก้าวเข้ามา นี่เป็นห้องของผมเอง คนที่ใช้ได้อย่างอิสระย่อมเป็นเจ้าของบ้าน นอกเหนือจากนั้นคือเมินโหยวผิง

วันนั้นเป็นวันพิเศษ ประมาณหนึ่งเดือนก่อนหน้า นายอ้วนนัดกับผมและเสี่ยวเกอเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าเขาจะกลับมาเยี่ยมเราที่ หังโจวและจะให้ผมพาไปเลี้ยงข้าวมื้อใหญ่ ผมด่าพอเป็นพิธีใส่โทรศัพท์ไปชุดนึงแต่ก็ยอมให้จนได้ จากนั้นเราจะทำอะไรได้อีกนอกจากบอกเสี่ยวเกอให้เรียบร้อยแล้วตั้งหน้าตั้งตา คอยวันที่จะได้มาอยู่พร้อมหน้ากันอีกครั้ง เพราะหลังจากคณะของผมเดินทางกลับลงมาจากฉางไป๋ซาน ผม นายอ้วน รวมถึงเสี่ยวฮัว ก็แทบไม่ได้เจอกันอีก ต่างฝ่ายต่างมีงานของตนที่ต้องไปจัดการสะสาง ชีวิตมันเป็นเช่นนี้เอง เรื่องหนึ่งจบลงแล้วก็ผ่านไป ยังไม่ทันไรเรื่องใหม่ก็มาดักคอรออยู่ข้างหน้าราวภูตผีตามหลอกหลอน เพราะอย่างนั้นนี่จะเป็นมื้อแรกของพวกเราสามคนในรอบปีตั้งแต่เรื่องทั้งหมด จบลง

ใบหน้าของเมินโหยวผิงดูไม่เปลี่ยนไปจากยามปกติหรือเมื่อสิบปีก่อนเลยสักนิด ทว่าท่วงท่าผ่อนคลายบนเก้าอี้ตัวโปรดของผมทำให้ผมยิ้มออกมาอย่างบริสุทธิ์ใจ นึกขอบคุณตัวเองเหลือเกินที่อดทนรอและทำทุกอย่างเพื่อพาตัวเขากลับมาอยู่ ด้วยกันที่นี่ในวันนี้

“เสี่ยวเกอ ไปกันเถอะ” ผมเรียกเขาให้หลุดจากภวังค์ ตั้งใจเข้ามาหยิบอะไรเล็กๆน้อยๆแล้วพาเขาออกไปด้วยกัน

เข็มบนหน้าปัดนาฬิกาเคลื่อนไป กลไกฝีมือมนุษย์สรรสร้างขยับไหวส่งเสียงเป็นจังหวะสม่ำเสมอ กริ๊ก กริ๊ก กริ๊ก

ตรงกันข้ามกับก้อนเนื้อที่แทบหยุดเต้นและเลือดในกายที่เย็นเฉียบไปถึงไข สันหลัง สว่างวาบ แล้วว่างเปล่า ราวระเบิดกวาดล้างทุกอย่างกลางจักรวาล

“เสี่ยวเกอ” สองมือยกขึ้นสัมผัสใบหน้า รู้สึกอุ่นด้วยไอชีวิตแผ่วจาง ทว่าเย็นเกินกว่าจะมีวิญญาณ์สถิตในร่าง “เสี่ยวเกอ!”

เขาไม่ลืมตาขึ้นมาอีก แม้ผมจะเรียกเขาเท่าไหร่ก็ตาม



-



ในวงการคว่ำกรวย การมีคนตายหรือเป็นฝ่ายพลาดท่าเสียเองถือเป็นเรื่องแสนสามัญธรรมดา หากก้าวมาอยู่ในโลกนี้แล้วย่อมได้พบได้เจอะเจอจนกลิ่นสาบสางศพและคาวเลือด ติดตามตัว หัวใจคนไม่ใช่หินผา แต่เมื่อถูกทำร้ายทำลายบ่อยครั้ง นานวันเข้าย่อมสร้างเกราะหนา กว่าจะรู้ตัวว่าหัวใจถูกหุ้มด้วยเนื้อหินก็เมื่อนั้นที่คุณไม่มีแม้น้ำตาสัก หยดจะหลั่งให้กับความตายที่เกิดขึ้นต่อหน้า ซึ่งอาจรวมถึงจางฉี่หลิงและตัวผมเอง

หากเวลาช่วงสิบปีที่แยกพวกเราไว้ด้วยประตูสำริดมีอำนาจมากพอจะเปลี่ยนบัณฑิต ไก่อ่อนนอนเฝ้าร้านไปวันๆอย่างผมให้กลายเป็นก้อนหินเย็นชาผู้สืบทอดบารมี บัญชาหน้าด่านได้ไม่ต่างจากอาสาม ชีวิตของเขาที่ดำเนินยาวนานจนหาจุดเริ่มต้นไม่ได้ย่อมก่อร่างสร้างภูผาสูง ตระหง่านอยู่ภายใน ผมคิดว่าเสี่ยวเกอเผชิญหน้ากับการพบพานและลาจากมามากกว่าใครกระทั่งชินชากับ ความตาย หากมีวันใดวันหนึ่งที่เขาต้องจากไป ย่อมถึงเวลาอันสมควรแล้วที่ร่างกายนี้ต้องหยุดพักหลับใหลไปตลอดกาล

การดำรงอยู่ของสกุลจางและภาระในฐานะทายาททั้งหมดล้วนเป็นของจางฉี่หลิง และเมื่อเขาจากไป ความลวง ความจริง ตัวตนของเขา ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมดับสูญตายตกตามกันไปด้วย

ความดื้อดึงของผมไม่มีวันยอมรับให้มันเป็นเช่นนั้น

เวลาของจางฉี่หลิงที่แบกรับหน้าที่หลังประตูสำริดอาจหมดลงเพราะผมเป็นคนจบมัน

แต่เวลาของเมินโหยวผิง เวลาที่เขาต้องใช้ร่วมกันกับผมมันยังไม่หมด

ทั้งผม ทั้งเสี่ยวเกอ เราไม่ได้อดทนรอสิบปีเพื่อพบกับจุดจบแบบนี้! ต่อให้ฟ้าดินลิขิตขีดเส้นให้อายุขัยของเขาสิ้นสุดลงแค่นี้ ผมก็จะลองทุกวิถีทางเพื่อยืดมันออกไป ต่อให้ด้ายชีวิตถูกตัดสะบั้น อู๋เสียคนนี้จะหาด้ายเส้นใหม่ที่แกร่งกว่ามาทดแทนให้!

ผมต้องการเขา

และผมรู้ว่าเขาก็ต้องการผมเหมือนกัน

“รออีกหน่อยนะเสี่ยวเกอ ฉันจะพานายกลับมาเดี๊ยวนี้แหละ”

นาบฝ่ามือบนผิวกระจกใส ความเย็นจากอีกฝากฝั่งของกระจกทำให้ผิวรู้สึกชาเหมือนแช่น้ำกลางทะเลสาปใน ฤดูหนาว อุณหภูมิระดับนี้อาจทำร้ายคนเป็น แต่มันจะดีสำหรับเมินโหยวผิง ด้วยความช่วยเหลือที่ต่อสายตรงจากตระกูลเซี่ยและตระกูลฮัว บวกกับทรัพย์สินและอิทธิพลมากมายที่ผมไขว้คว้าหามาเลือดตาแทบกระเด็นภายใน สิบปีนี้ทำให้อุปกรณ์ทางการแพทย์และบุคลากรชั้นแนวหน้ามากความรู้ทั้งหลาย ส่งมาถึงมืออย่างรวดเร็ว ร่างของเมินโหยวผิงถูกผมสั่งย้ายไปที่บ้านอีกหลังที่ใหญ่กว่าเพื่อรองรับคน จำนวนมากที่จัดหามาช่วยเขาโดยเฉพาะ ข้าวเย็นที่นายอ้วนแวะซื้อมาให้ก่อนกลับไปเมื่อชั่วโมงที่แล้วน่าจะยัง วางอยู่ในครัวข้างล่าง แปลกดี ทั้งที่คุยงานมาตลอดทั้งวันและแทบไม่ได้นั่งกินอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน เมื่อเห็นหน้าเขาผมกลับไม่รู้สึกหิวสักนิด


...อู๋เสีย พาฉันกลับบ้าน...


หางตาของผมเริ่มร้อนผะผ่าว หากยังกลั้นใจยับยั้งมันเอาไว้ได้ ผมสูดลมหายใจลึก ยิ้มให้คนที่นอนอยู่ภายในกระบอกแคปซูลแก้วตรงหน้า

สิบปี เราสองคนยังอดทนรอกันมาได้

เทียบกับครั้งแรกแล้ว ถ้าต้องรออีกสักปีสองปี ห้าปี สิบปี หรือนานกว่านี้ ถ้ามีแต่ต้องพานายกลับมาด้วยวิธีนี้ ผมได้แต่หวังว่ามันคงไม่ทรมานมากนักถ้าต้องรออีกครั้ง ตราบเท่าที่ยังมีความหวังอยู่

จริงไหมเสี่ยวเกอ?



-



ห้องของอู๋เสียมีหน้าต่างอยู่บานหนึ่ง หากเปิดออกไปจะเห็นกิ่งก้านของต้นบ๊วย อวดดอกบานสะพรั่งหยอกล้อลู่ลม

กลิ่นแรกในยามเช้าคือกลิ่นดอกบ๊วย

สิ่งแรกที่ปรารถนายามตื่นคือ...



“ฟื้นแล้วเหรอเสี่ยวเกอ”

เปลือกตาเปิดขึ้นเมื่อได้ยินเสียงดังขึ้นใกล้ตัว ก่อนหลุบลงอย่างรวดเร็ว แสงสว่างจ้าที่อาบดวงตาฉับพลันทำให้รู้สึกแสบจนต้องหรี่ตา ผ่านไปครู่หนึ่ง ชายหนุ่มจึงลืมตาขึ้นอีกครั้ง ภาพเบื้องหน้ายังคงพร่ามัวเหมือนมีม่านหมอกหนาบดบัง ทว่าค่อยๆจางลงทีละเล็กละน้อย

จางฉี่หลิงเบือนหน้าไปยังทิศทางของเสียง วิสัยทัศน์ที่เริ่มกระจ่างใสขึ้นเรื่อยๆปรากฏภาพใบหน้าคนๆหนึ่งซึ่งเขาไม่มีวันลืมเลือน

อู๋เสีย?

“นายรู้สึกยังไงบ้าง เจ็บอะไรตรงไหนมั้ย”

เขายันตัวขึ้นทว่าไม่รู้สึกถึงเรี่ยวแรงของตนเลยแม้แต่น้อย จึงล้มตัวลงไปนอนอีกครั้ง แววตาฉายความสับสนชัดบนใบหน้าเรียบเฉย พอจะลุกขึ้นอีกครั้ง คนที่ยืนอยู่ข้างๆก็เอื้อมมือมาจับไหล่เขาไว้ ออกแรงดันเพียงเล็กน้อยให้กลับลงไปนอนอย่างเดิม “อยู่นิ่งๆก่อน อย่าเพิ่งรีบลุกตอนนี้นะ”

“ทำไมฉัน...” เสียงที่เปล่งออกมาฟังดูแหบเบา อีกทั้งคอยังแห้งผากเหมือนทะเลทราย อู๋เสียรินน้ำให้แก้วหนึ่งที่เขาเค้นแรงเอื้อมมือรับมาดื่มด้วยความกระหาย

“จู่ๆนายก็หลับไป” คนตรงหน้าเริ่มอธิบาย ใบหน้าเคร่งขรึมลง “แล้วก็ไม่ตื่นขึ้นมาอีกเกือบๆสามเดือนเต็ม...”
เขาเบิกตากว้าง ปล่อยให้คำพูดซึมซับเข้าหัวสมองช้าๆ “ฉันคิดว่านายจะไม่ฟื้นขึ้นมาอีกแล้ว แต่ว่า...” แก้วน้ำว่างเปล่าในมือถูกดึงออกไป แทนที่ด้วยมือที่ยื่นเข้ามากอบกุมมือขวาของเขาเอาไว้

“ฉันเชื่อว่านายต้องฟื้น ฉันคิดว่านายคงไม่มีวันหลับไปตลอดกาลแบบนั้นแน่ ร่างกายนายอาจแค่อ่อนแอหลังอยู่หลังประตูนั่นมานาน เลยมาชาร์จพลังงานใหม่ข้างนอกเอา”

อู๋เสียยิ้ม ก่อนจะผละออก “เดี๊ยวฉันไปโทรบอกคนอื่นๆก่อนนะว่านายฟื้นแล้ว--”



หมับ



คนที่หยิบมือถือขึ้นมาชะงักเท้า หันกลับไปก็พบว่าคนบนเตียงใช้สองนิ้วยาวคีบชายเสื้อของเขาไว้แน่น แล้วจ้องตาเขาไม่กะพริบ

“มีอะไรเหรอเสี่ยวเกอ นายพัก—“

“อู๋เสียอยู่ไหน”

คนโดนถามมีสีหน้างุนงง จางฉี่หลิงเค้นแรงดึงชายเสื้ออีกฝ่ายแน่นจนมือสั่น

"เพ้อเจ้ออะไรของนาย ฉันอยู่ที่นี้แล้วไง"

“นายไม่ใช่อู๋เสีย”

‘อู๋เสีย’ ตัวกระตุกเบาๆ ปฏิกริยานั้นสร้างแรงสะเทือนส่งผ่านปลายนิ้วมากเกินพอที่จะยืนยันความคิดอ่านในใจได้ชัด

แม้ใบหน้านั้นจะเป็นใบหน้าเดียวกันไม่ผิด

แต่พิจารณาจากแววตา น้ำเสียงที่มีส่วนผิดแปร่งแปลกหูเล็กน้อย และสัมผัสเรียบลื่นของมือคู่นั้นที่กอบกุมมือขวาของจางฉี่หลิงไว้เมื่อครู่ เขารู้ได้ทันทีว่าคนๆนี้ไม่ใช่อู๋เสีย

สิบปีที่เขาไปทำหน้าที่แทนที่คนๆนั้นทำให้หลายๆอย่างในตัวคนไร้เดียงสามาก ล้นความดื้อรั้นเปลี่ยนแปลงไป ถึงอย่างไรในสายตาของเขาอู๋เสียคนนั้นก็ยังเป็นเทียนเจินอู๋เสียอย่างที่นาย อ้วนแซ่หวังเรียกล้ออยู่เรื่อยไป แต่ ‘อู๋เสีย’ ที่ยืนอยู่ตรงหน้าสะอาดเกินไป สะอาดเหมือนกระดาษขาวที่ไม่เคยต้องฝุ่นต้องหมึก สะอาดยิ่งกว่าอู๋เสียในครั้งแรกที่ได้พานพบกันเสียอีก เสมือนไม่เคยผ่านประสบการณ์แสนอันตรายในการลงกรวย ไม่เคยได้ล้มลุกคลุกคลานแข้งขาหักในป่าเขา หรือกระทั่งแววตาเด็ดขาดในการรับมือลูกน้องของเถ้าแก่อู๋ที่เขาเคยได้เห็นก็ ไม่มีทิ้งร่องรอยไว้

“เขาอยู่ไหน นายต้องการอะไร”

ดวงตาสองคู่จับจ้องราวเสือกับสิงห์ระแวดระแวงภัย

อู๋เสียถอนหายใจยาว

“ใบหน้านี้ตบตาคุณไม่ได้จริงๆสินะ”

คนโดนจับได้ยกมือขึ้น ค่อยๆเลาะนิ้วผ่านกลุ่มผม ลอกผิวสีเนื้อติดกลับออกมา เผยให้เห็นใบหน้าที่ไม่คุ้นตา

“ในหัวของคุณคงมีแต่คำถาม ผมจะตอบคุณทั้งหมดเอง ส่วนเรื่องอู๋เสีย คุณไม่ต้องห่วงอะไรเขาอีกแล้ว”

หน้ากากหนังมนุษย์ถูกผู้สวมใส่วางไว้บนโต๊ะข้างเตียง ชายแปลกหน้าเข้ามาประชิดขอบเตียง แล้วโค้งตัวทำความเคารพ

“ผมคือทายาทสกุลอู๋ ทุกสิ่งที่เราทำ ทุกสิ่งที่คุณจะได้เห็น ได้รู้ต่อจากนี้ ทั้งหมดเกิดจากความต้องการของท่านปู่ของผม”

เขาเงยหน้าขึ้น

“ผมคือหลานของปู่เสียหรืออู๋เสียที่คุณรู้จัก ท่านคงยินดีมากหากได้รู้ว่าคุณกลับมาแล้ว ยินดีที่ได้รู้จักคุณนะครับ จางฉี่หลิง”



-



...ไม่ถึงขนาดนั้น ถ้านายหายไป อย่างน้อยฉันจะรู้...

สองมือที่เหี่ยวย่นเกร็งกำแท่นวางแขนแน่น ดวงตาฝ้าฟางบนใบหน้ามากริ้วรอยแห่งกาลเวลาจับจ้องผ่านม่านกระจกทรงกระบอก ร่างที่อยู่ในแคปซูลยังไร้ปฏิกริยาตอบสนอง

เอื้อมมือระโหยโรยแรงทาบบนพื้นผิวเนียนใสของกระจก ลูบไล้เหนือบริเวณใบหน้าอ่อนเยาว์อย่างไม่อาจเอ่ยคำบรรยายใดๆให้กับความ รู้สึกจุกที่ตื้อตีบตันในลำคอ เขาหายใจลำบากเหลือเกิน

“ขอโทษนะเสี่ยวเกอ”



...แต่เวลาของฉันหมดแล้ว...






ปี๊บบบบ.....!!


เสียงร้องลั่นจากหน้าจอวัดชีพจรสร้างความโกลาหลทั่วทั้งห้องสี่เหลี่ยมเล็ก เงามากมายเคลื่อนไหววูบวาบ เสียงโหวกเหวกวุ่นวาย เสียงฝีเท้าหนักของผู้คน

ล้วนค่อยๆเงียบสงัดลง....

โลกทั้งใบของอู๋เสียดับสนิท





และแล้ว


...กึก...


จางฉี่หลิงก็ได้ลืมตาขึ้น


ในอีกสามปีหลังจากนั้น



[OS] สิ่งที่ชอบที่สุด (ผิงเสีย)







[OS] สิ่งที่ชอบที่สุด (ผิงเสีย)





By Fenrir















ผมชอบดวงตาคู่นั้น


...ดวงตาที่บางครั้งอาจได้ทันเห็นประกายเล็กๆวาบแล้วกลืนหายไปเมื่อผมเรียก





ผมชอบจมูกของเขา


...ปลายจมูกของเราซุกซนชนกันเหมือนหยอกล้อ ซุกไซ้ พ่นลมหายใจเข้าออกรดบนต้นคอ ลากเหนือผิวไล่ต่ำลงมา...เขาทำให้ผมรู้สึกเหมือนกำลังจะตายเพราะความร้อนที่ กระจายไปทุกส่วน





ผมชอบริมฝีปากราบเรียบนั้น


...ที่กลับยักยิ้มน้อยๆยามผมลูบใบหน้า ปลายนิ้วเกลี่ยเส้นผมชื้นเหงื่อออกไป เพื่อที่ผมกับเขาจะได้แลกเปลี่ยนความหวานกันเนิ่นนาน จนกว่าผมจะเป็นฝ่ายผละออกเมื่อใกล้ขาดใจตาย





ผมชอบไหล่ของเขา


...ทั้งตึงแน่นและแข็งแกร่งเหมือนใยกล้ามเนื้อนับล้านประสานกันในจุดเดียว ผมเอนใบหน้าลงซบ สูดกลิ่นสมุนไพรเจือจางคละเหงื่อจากต้นคอ ให้ฤทธิ์ประหลาดเหมือนเครื่องหอมโบราณ อุ่นใจคล้ายได้รับการปกป้องไม่ว่ายามปกติหรือลงดิน





ผมชอบรอยสักของเขา


...กิเลนตั้งท่าทะยานโลดแล่นที่ปรากฏบนไหล่จรดแผ่นอกดูปราณีตและสง่างามยาก จะละสายตา หากแนบหูผมจะได้ยินเสียงสัญญาณแห่งชีวิตที่เต้นแรงแข่งกับเสียงของผมเอง ในอ้อมกอดนี้คือกิเลนที่มีอยู่จริงไม่ได้เป็นเพียงตำนาน ทั้งที่ชอบมันมากขนาดนั้นแต่เขากลับไม่ปล่อยโอกาสผมได้สำรวจมันนานนัก





ผมชอบมือคู่นั้น


...ไม่ว่าข้างที่มีนิ้วเรียวยาวพิเศษและอีกข้างที่แสนสามัญ มันเข้ามากอบกุมสอดประสานมือของผมแนบแน่นราวเป็นเนื้อเดียว ตรึงแน่นกับที่เหมือนตอกตะปูไม่ให้ขยับหายหากไม่แรงพอทำให้ผมเจ็บ พอผมเผลอก็เที่ยวลากไล่สำรวจทุกซอกทุกมุมซะไม่เหลือเร้น เรียนรู้และจดจำได้แม่นยำราวกับร่างกายนี้เป็นแผนที่สุสานยิ่งกว่าตัวเจ้า ของเอง





ผมชอบ............


อ่า เรื่องบางเรื่องผมคิดว่าไม่ขอพูดจะดีกว่า ผมคงตอบได้แค่ว่าอุณหภูมิและกำลังของเขาไม่ใช่เรื่องโกหก แทบไม่น่าเชื่อว่าแมวเฉยชาข้างหน้าต่างตัวหนึ่งจะกลายร่างเป็นพยัคฆ์ได้ใน หนึ่งอึดใจ เยื้องย่างไล่ต้อน กระทั่งสติที่เลือนรางของผมพร้อมจะหลุดลอยหายไปแล้วโดนเขากระชากกลับคืนมา ใหม่ได้ตลอดเวลา อาการวนเวียนชวนสับสนคล้ายกึ่งหลับกึ่งตื่นนี้อาจเกิดกับผมฝ่ายเดียวก็ได้ ช่างไม่ยุติธรรมเลย แต่เวลานั้นใครจะสน ผมเห็นเพียงพายุพัดกระหน่ำเกรี้ยวกราด กัดกินตะกละตะกรามจนทั้งเนื้อทั้งตัวไม่เหลือเรี่ยวแรง





ผมชอบทุกอย่างในตัวจางฉี่หลิง


ทุกอย่างที่เป็นเขา





เขาปากหนัก อมพะนำ บ่อยครั้งที่ผมหงุดหงิดกับการทำตัวมีความลับเยอะแบบนี้ แต่ขาดจุดนี้ไปก็ไม่ใช่เขาที่พวกเรารู้จัก และทุกอย่างก็คงแตกต่างไปจากนี้มากมาย



ถ้าเขาไม่ทำเมินเหมือนผมเป็นอากาศธาตุในตอนแรก ผมคงไม่ตามตื้อดื้อด้านมาจนถึงวันนี้



ถ้าเขาไม่ได้เที่ยวผลุบๆโผล่ๆ ทำตัวเหมือนคนธรรมดามากกว่านี้ ผมคงไม่เผลอมองหาเขาจนกลายเป็นนิสัย โล่งใจแม้เห็นแค่เงาหรือตัวเขาที่ยืนเงียบอยู่ไม่ไกล



ถ้าเขาไม่เก็บงำทุกอย่างเงียบไว้กับตัว ผมคงไม่ได้สนใจ ซักไซ้อยากรู้เรื่องราวต่างๆในตัวเขามากอย่างที่ทำอยู่



ถ้าเขาไม่ได้เข้ามาช่วยผมซ้ำแล้วซ้ำเล่า ไม่ได้เสี่ยงอันตรายจนเกือบเอาชีวิตไม่รอดหลายหน ผมคงไม่ได้มองเห็นเขาเป็นมนุษย์เหมือนอย่างที่ตัวผมเป็น มนุษย์ที่มีวันเพลี่ยงพล้ำ มีวันอ่อนแอ มีหัวใจและความห่วงใยที่แทบไม่แสดงออกทางหน้าตา



ถ้าเขาไม่มาลาผมในตอนนั้น ผมคงไม่ได้ออกเดินทางตามเขาไปถึงฉางไป๋ซาน ไม่ได้รับรู้ว่าเขาทำอะไรไปเพื่อผม


และคงไม่ได้ทันฉุกใจคิด ว่าตัวเองกำลังจะสูญเสียใครคนหนึ่งที่สำคัญไปอีกนานแสนนาน





ไม่ว่าจะยอมรับหรือไม่ ทุกอย่างที่ผมชอบและไม่ชอบ สุดท้ายล้วนล้วนประกอบกันเป็นเขา คนสำคัญของผมที่ครั้งหนึ่งเอ่ยว่าผมเป็นสิ่งเชื่อมโยงเพียงหนึ่งเดียว ระหว่างเขากับโลก


หากจะมีข้อเสียบางอย่างที่เกินแก้ผมก็ถือว่าด้วยธรรมชาติของมนุษย์แล้ว ตัวผมเองย่อมมีไม่ต่างกันหรืออาจมากกว่า ท้ายที่สุดแล้วกาลเวลาได้พิสูจน์ว่าผมยังคงชอบเขาที่สุดอยู่ดีแม้จะรู้อยู่ แก่ใจว่าเขาเป็นอย่างไร


ฉะนั้นผมจะไม่ขอให้เขาเปลี่ยนแปลงอะไรเพื่อผม เพราะทั้งหมดนั่นคือเขา เขาเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้นที่เทียนเจินอู๋เสียและเถ้าแก่สามชอบที่สุด





และถ้าไม่ใช่นายเรือพ่วงเมินโหยวผิงน่าเบื่อคนนี้





ผมก็ไม่รู้ว่าชีวิตนี้จะฝากหัวใจไว้กับใครได้อีกแล้ว











---------------------------------




Talk




คราวนี้มาสั่นๆรับลมร้อนและอาการขาดกาวเคลือบน้ำตาล เราต้องการกาว!! กาวหายไปไหนหมดดดด!!!!!

เราเห็นคุณเบียร์แปลซาไห่ตอน2ลงบอร์ดเต้ามู่แล้ว เกิดอาการอยากแซะต้นแขนเสี่ยวเกอขึ้นมา ฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟ

Fetishกล้ามเนื้อลีนๆแต่แข็งแกร่งเกินจะมองออกด้วยดวงตาแต่ต้องเรียนรู้ด้วยการสัมผัสโดยตรงนี่มันดีจริงๆนะ!!! อิจฉาาาาาาาาาา!!!!!