[OS] The Waiting
By Fenrir
เขาอยู่มานาน แต่ไม่ได้หมายความว่าจะอยู่ได้ตลอดไป
ผมเคยคิดว่าตัวเองจะเป็นฝ่ายจากเขาไปก่อน
กลับกลายเป็นว่าตอนนี้คนที่ถูกทิ้งไว้กลับกลายเป็นผม
เป็นเทียนเจินอู๋เสียในสายตาของเขาเสมอมา
ปี๊บ...ปี๊บ...ปี๊บ...
ใต้แสงไฟสลัว ผมยืนเคียงข้างเขา ลมหายใจเย็นชวนยะเยือกลอยเป็นไอขาวฟุ้งในอากาศ แต่ทั้งหมดนี้คงไม่หนาวเท่าเขาที่ต้องอยู่แต่ในนั้น
จางฉี่หลิงตายครบหนึ่งเดือนแล้ว
-
ทุกอย่างเริ่มต้นและจบลงอย่างเรียบง่าย เหมือนครั้งแรกที่เขาและผมเดินสวนกันหน้าร้านของอาสาม
คล้อยบ่ายกลางฤดูใบไม้ร่วง เสี่ยวเกอนั่งอยู่บนเก้าอี้หวาย
หน้าต่างเปิดกว้างรับลมพัดเข้ามาเต็มที่ มู่ลี่สะบัดส่งเสียงกระทบกัน
ผมก้าวเข้ามา นี่เป็นห้องของผมเอง
คนที่ใช้ได้อย่างอิสระย่อมเป็นเจ้าของบ้าน นอกเหนือจากนั้นคือเมินโหยวผิง
วันนั้นเป็นวันพิเศษ ประมาณหนึ่งเดือนก่อนหน้า
นายอ้วนนัดกับผมและเสี่ยวเกอเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าเขาจะกลับมาเยี่ยมเราที่
หังโจวและจะให้ผมพาไปเลี้ยงข้าวมื้อใหญ่
ผมด่าพอเป็นพิธีใส่โทรศัพท์ไปชุดนึงแต่ก็ยอมให้จนได้
จากนั้นเราจะทำอะไรได้อีกนอกจากบอกเสี่ยวเกอให้เรียบร้อยแล้วตั้งหน้าตั้งตา
คอยวันที่จะได้มาอยู่พร้อมหน้ากันอีกครั้ง
เพราะหลังจากคณะของผมเดินทางกลับลงมาจากฉางไป๋ซาน ผม นายอ้วน
รวมถึงเสี่ยวฮัว ก็แทบไม่ได้เจอกันอีก
ต่างฝ่ายต่างมีงานของตนที่ต้องไปจัดการสะสาง ชีวิตมันเป็นเช่นนี้เอง
เรื่องหนึ่งจบลงแล้วก็ผ่านไป
ยังไม่ทันไรเรื่องใหม่ก็มาดักคอรออยู่ข้างหน้าราวภูตผีตามหลอกหลอน
เพราะอย่างนั้นนี่จะเป็นมื้อแรกของพวกเราสามคนในรอบปีตั้งแต่เรื่องทั้งหมด
จบลง
ใบหน้าของเมินโหยวผิงดูไม่เปลี่ยนไปจากยามปกติหรือเมื่อสิบปีก่อนเลยสักนิด
ทว่าท่วงท่าผ่อนคลายบนเก้าอี้ตัวโปรดของผมทำให้ผมยิ้มออกมาอย่างบริสุทธิ์ใจ
นึกขอบคุณตัวเองเหลือเกินที่อดทนรอและทำทุกอย่างเพื่อพาตัวเขากลับมาอยู่
ด้วยกันที่นี่ในวันนี้
“เสี่ยวเกอ ไปกันเถอะ” ผมเรียกเขาให้หลุดจากภวังค์ ตั้งใจเข้ามาหยิบอะไรเล็กๆน้อยๆแล้วพาเขาออกไปด้วยกัน
เข็มบนหน้าปัดนาฬิกาเคลื่อนไป กลไกฝีมือมนุษย์สรรสร้างขยับไหวส่งเสียงเป็นจังหวะสม่ำเสมอ กริ๊ก กริ๊ก กริ๊ก
ตรงกันข้ามกับก้อนเนื้อที่แทบหยุดเต้นและเลือดในกายที่เย็นเฉียบไปถึงไข
สันหลัง สว่างวาบ แล้วว่างเปล่า ราวระเบิดกวาดล้างทุกอย่างกลางจักรวาล
“เสี่ยวเกอ” สองมือยกขึ้นสัมผัสใบหน้า รู้สึกอุ่นด้วยไอชีวิตแผ่วจาง ทว่าเย็นเกินกว่าจะมีวิญญาณ์สถิตในร่าง “เสี่ยวเกอ!”
เขาไม่ลืมตาขึ้นมาอีก แม้ผมจะเรียกเขาเท่าไหร่ก็ตาม
-
ในวงการคว่ำกรวย
การมีคนตายหรือเป็นฝ่ายพลาดท่าเสียเองถือเป็นเรื่องแสนสามัญธรรมดา
หากก้าวมาอยู่ในโลกนี้แล้วย่อมได้พบได้เจอะเจอจนกลิ่นสาบสางศพและคาวเลือด
ติดตามตัว หัวใจคนไม่ใช่หินผา แต่เมื่อถูกทำร้ายทำลายบ่อยครั้ง
นานวันเข้าย่อมสร้างเกราะหนา
กว่าจะรู้ตัวว่าหัวใจถูกหุ้มด้วยเนื้อหินก็เมื่อนั้นที่คุณไม่มีแม้น้ำตาสัก
หยดจะหลั่งให้กับความตายที่เกิดขึ้นต่อหน้า
ซึ่งอาจรวมถึงจางฉี่หลิงและตัวผมเอง
หากเวลาช่วงสิบปีที่แยกพวกเราไว้ด้วยประตูสำริดมีอำนาจมากพอจะเปลี่ยนบัณฑิต
ไก่อ่อนนอนเฝ้าร้านไปวันๆอย่างผมให้กลายเป็นก้อนหินเย็นชาผู้สืบทอดบารมี
บัญชาหน้าด่านได้ไม่ต่างจากอาสาม
ชีวิตของเขาที่ดำเนินยาวนานจนหาจุดเริ่มต้นไม่ได้ย่อมก่อร่างสร้างภูผาสูง
ตระหง่านอยู่ภายใน
ผมคิดว่าเสี่ยวเกอเผชิญหน้ากับการพบพานและลาจากมามากกว่าใครกระทั่งชินชากับ
ความตาย หากมีวันใดวันหนึ่งที่เขาต้องจากไป
ย่อมถึงเวลาอันสมควรแล้วที่ร่างกายนี้ต้องหยุดพักหลับใหลไปตลอดกาล
การดำรงอยู่ของสกุลจางและภาระในฐานะทายาททั้งหมดล้วนเป็นของจางฉี่หลิง
และเมื่อเขาจากไป ความลวง ความจริง ตัวตนของเขา
ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมดับสูญตายตกตามกันไปด้วย
ความดื้อดึงของผมไม่มีวันยอมรับให้มันเป็นเช่นนั้น
เวลาของจางฉี่หลิงที่แบกรับหน้าที่หลังประตูสำริดอาจหมดลงเพราะผมเป็นคนจบมัน
แต่เวลาของเมินโหยวผิง เวลาที่เขาต้องใช้ร่วมกันกับผมมันยังไม่หมด
ทั้งผม ทั้งเสี่ยวเกอ เราไม่ได้อดทนรอสิบปีเพื่อพบกับจุดจบแบบนี้!
ต่อให้ฟ้าดินลิขิตขีดเส้นให้อายุขัยของเขาสิ้นสุดลงแค่นี้
ผมก็จะลองทุกวิถีทางเพื่อยืดมันออกไป ต่อให้ด้ายชีวิตถูกตัดสะบั้น
อู๋เสียคนนี้จะหาด้ายเส้นใหม่ที่แกร่งกว่ามาทดแทนให้!
ผมต้องการเขา
และผมรู้ว่าเขาก็ต้องการผมเหมือนกัน
“รออีกหน่อยนะเสี่ยวเกอ ฉันจะพานายกลับมาเดี๊ยวนี้แหละ”
นาบฝ่ามือบนผิวกระจกใส
ความเย็นจากอีกฝากฝั่งของกระจกทำให้ผิวรู้สึกชาเหมือนแช่น้ำกลางทะเลสาปใน
ฤดูหนาว อุณหภูมิระดับนี้อาจทำร้ายคนเป็น แต่มันจะดีสำหรับเมินโหยวผิง
ด้วยความช่วยเหลือที่ต่อสายตรงจากตระกูลเซี่ยและตระกูลฮัว
บวกกับทรัพย์สินและอิทธิพลมากมายที่ผมไขว้คว้าหามาเลือดตาแทบกระเด็นภายใน
สิบปีนี้ทำให้อุปกรณ์ทางการแพทย์และบุคลากรชั้นแนวหน้ามากความรู้ทั้งหลาย
ส่งมาถึงมืออย่างรวดเร็ว
ร่างของเมินโหยวผิงถูกผมสั่งย้ายไปที่บ้านอีกหลังที่ใหญ่กว่าเพื่อรองรับคน
จำนวนมากที่จัดหามาช่วยเขาโดยเฉพาะ
ข้าวเย็นที่นายอ้วนแวะซื้อมาให้ก่อนกลับไปเมื่อชั่วโมงที่แล้วน่าจะยัง
วางอยู่ในครัวข้างล่าง แปลกดี
ทั้งที่คุยงานมาตลอดทั้งวันและแทบไม่ได้นั่งกินอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน
เมื่อเห็นหน้าเขาผมกลับไม่รู้สึกหิวสักนิด
...อู๋เสีย พาฉันกลับบ้าน...
หางตาของผมเริ่มร้อนผะผ่าว หากยังกลั้นใจยับยั้งมันเอาไว้ได้ ผมสูดลมหายใจลึก ยิ้มให้คนที่นอนอยู่ภายในกระบอกแคปซูลแก้วตรงหน้า
สิบปี เราสองคนยังอดทนรอกันมาได้
เทียบกับครั้งแรกแล้ว ถ้าต้องรออีกสักปีสองปี ห้าปี สิบปี หรือนานกว่านี้
ถ้ามีแต่ต้องพานายกลับมาด้วยวิธีนี้
ผมได้แต่หวังว่ามันคงไม่ทรมานมากนักถ้าต้องรออีกครั้ง
ตราบเท่าที่ยังมีความหวังอยู่
จริงไหมเสี่ยวเกอ?
-
ห้องของอู๋เสียมีหน้าต่างอยู่บานหนึ่ง หากเปิดออกไปจะเห็นกิ่งก้านของต้นบ๊วย อวดดอกบานสะพรั่งหยอกล้อลู่ลม
กลิ่นแรกในยามเช้าคือกลิ่นดอกบ๊วย
สิ่งแรกที่ปรารถนายามตื่นคือ...
“ฟื้นแล้วเหรอเสี่ยวเกอ”
เปลือกตาเปิดขึ้นเมื่อได้ยินเสียงดังขึ้นใกล้ตัว ก่อนหลุบลงอย่างรวดเร็ว
แสงสว่างจ้าที่อาบดวงตาฉับพลันทำให้รู้สึกแสบจนต้องหรี่ตา ผ่านไปครู่หนึ่ง
ชายหนุ่มจึงลืมตาขึ้นอีกครั้ง
ภาพเบื้องหน้ายังคงพร่ามัวเหมือนมีม่านหมอกหนาบดบัง
ทว่าค่อยๆจางลงทีละเล็กละน้อย
จางฉี่หลิงเบือนหน้าไปยังทิศทางของเสียง วิสัยทัศน์ที่เริ่มกระจ่างใสขึ้นเรื่อยๆปรากฏภาพใบหน้าคนๆหนึ่งซึ่งเขาไม่มีวันลืมเลือน
อู๋เสีย?
“นายรู้สึกยังไงบ้าง เจ็บอะไรตรงไหนมั้ย”
เขายันตัวขึ้นทว่าไม่รู้สึกถึงเรี่ยวแรงของตนเลยแม้แต่น้อย
จึงล้มตัวลงไปนอนอีกครั้ง แววตาฉายความสับสนชัดบนใบหน้าเรียบเฉย
พอจะลุกขึ้นอีกครั้ง คนที่ยืนอยู่ข้างๆก็เอื้อมมือมาจับไหล่เขาไว้
ออกแรงดันเพียงเล็กน้อยให้กลับลงไปนอนอย่างเดิม “อยู่นิ่งๆก่อน
อย่าเพิ่งรีบลุกตอนนี้นะ”
“ทำไมฉัน...” เสียงที่เปล่งออกมาฟังดูแหบเบา
อีกทั้งคอยังแห้งผากเหมือนทะเลทราย
อู๋เสียรินน้ำให้แก้วหนึ่งที่เขาเค้นแรงเอื้อมมือรับมาดื่มด้วยความกระหาย
“จู่ๆนายก็หลับไป” คนตรงหน้าเริ่มอธิบาย ใบหน้าเคร่งขรึมลง “แล้วก็ไม่ตื่นขึ้นมาอีกเกือบๆสามเดือนเต็ม...”
เขาเบิกตากว้าง ปล่อยให้คำพูดซึมซับเข้าหัวสมองช้าๆ
“ฉันคิดว่านายจะไม่ฟื้นขึ้นมาอีกแล้ว แต่ว่า...”
แก้วน้ำว่างเปล่าในมือถูกดึงออกไป
แทนที่ด้วยมือที่ยื่นเข้ามากอบกุมมือขวาของเขาเอาไว้
“ฉันเชื่อว่านายต้องฟื้น ฉันคิดว่านายคงไม่มีวันหลับไปตลอดกาลแบบนั้นแน่
ร่างกายนายอาจแค่อ่อนแอหลังอยู่หลังประตูนั่นมานาน
เลยมาชาร์จพลังงานใหม่ข้างนอกเอา”
อู๋เสียยิ้ม ก่อนจะผละออก “เดี๊ยวฉันไปโทรบอกคนอื่นๆก่อนนะว่านายฟื้นแล้ว--”
หมับ
คนที่หยิบมือถือขึ้นมาชะงักเท้า หันกลับไปก็พบว่าคนบนเตียงใช้สองนิ้วยาวคีบชายเสื้อของเขาไว้แน่น แล้วจ้องตาเขาไม่กะพริบ
“มีอะไรเหรอเสี่ยวเกอ นายพัก—“
“อู๋เสียอยู่ไหน”
คนโดนถามมีสีหน้างุนงง จางฉี่หลิงเค้นแรงดึงชายเสื้ออีกฝ่ายแน่นจนมือสั่น
"เพ้อเจ้ออะไรของนาย ฉันอยู่ที่นี้แล้วไง"
“นายไม่ใช่อู๋เสีย”
‘อู๋เสีย’ ตัวกระตุกเบาๆ ปฏิกริยานั้นสร้างแรงสะเทือนส่งผ่านปลายนิ้วมากเกินพอที่จะยืนยันความคิดอ่านในใจได้ชัด
แม้ใบหน้านั้นจะเป็นใบหน้าเดียวกันไม่ผิด
แต่พิจารณาจากแววตา น้ำเสียงที่มีส่วนผิดแปร่งแปลกหูเล็กน้อย
และสัมผัสเรียบลื่นของมือคู่นั้นที่กอบกุมมือขวาของจางฉี่หลิงไว้เมื่อครู่
เขารู้ได้ทันทีว่าคนๆนี้ไม่ใช่อู๋เสีย
สิบปีที่เขาไปทำหน้าที่แทนที่คนๆนั้นทำให้หลายๆอย่างในตัวคนไร้เดียงสามาก
ล้นความดื้อรั้นเปลี่ยนแปลงไป
ถึงอย่างไรในสายตาของเขาอู๋เสียคนนั้นก็ยังเป็นเทียนเจินอู๋เสียอย่างที่นาย
อ้วนแซ่หวังเรียกล้ออยู่เรื่อยไป แต่ ‘อู๋เสีย’
ที่ยืนอยู่ตรงหน้าสะอาดเกินไป
สะอาดเหมือนกระดาษขาวที่ไม่เคยต้องฝุ่นต้องหมึก
สะอาดยิ่งกว่าอู๋เสียในครั้งแรกที่ได้พานพบกันเสียอีก
เสมือนไม่เคยผ่านประสบการณ์แสนอันตรายในการลงกรวย
ไม่เคยได้ล้มลุกคลุกคลานแข้งขาหักในป่าเขา
หรือกระทั่งแววตาเด็ดขาดในการรับมือลูกน้องของเถ้าแก่อู๋ที่เขาเคยได้เห็นก็
ไม่มีทิ้งร่องรอยไว้
“เขาอยู่ไหน นายต้องการอะไร”
ดวงตาสองคู่จับจ้องราวเสือกับสิงห์ระแวดระแวงภัย
อู๋เสียถอนหายใจยาว
“ใบหน้านี้ตบตาคุณไม่ได้จริงๆสินะ”
คนโดนจับได้ยกมือขึ้น ค่อยๆเลาะนิ้วผ่านกลุ่มผม ลอกผิวสีเนื้อติดกลับออกมา เผยให้เห็นใบหน้าที่ไม่คุ้นตา
“ในหัวของคุณคงมีแต่คำถาม ผมจะตอบคุณทั้งหมดเอง ส่วนเรื่องอู๋เสีย คุณไม่ต้องห่วงอะไรเขาอีกแล้ว”
หน้ากากหนังมนุษย์ถูกผู้สวมใส่วางไว้บนโต๊ะข้างเตียง ชายแปลกหน้าเข้ามาประชิดขอบเตียง แล้วโค้งตัวทำความเคารพ
“ผมคือทายาทสกุลอู๋ ทุกสิ่งที่เราทำ ทุกสิ่งที่คุณจะได้เห็น ได้รู้ต่อจากนี้ ทั้งหมดเกิดจากความต้องการของท่านปู่ของผม”
เขาเงยหน้าขึ้น
“ผมคือหลานของปู่เสียหรืออู๋เสียที่คุณรู้จัก ท่านคงยินดีมากหากได้รู้ว่าคุณกลับมาแล้ว ยินดีที่ได้รู้จักคุณนะครับ จางฉี่หลิง”
-
...ไม่ถึงขนาดนั้น ถ้านายหายไป อย่างน้อยฉันจะรู้...
สองมือที่เหี่ยวย่นเกร็งกำแท่นวางแขนแน่น
ดวงตาฝ้าฟางบนใบหน้ามากริ้วรอยแห่งกาลเวลาจับจ้องผ่านม่านกระจกทรงกระบอก
ร่างที่อยู่ในแคปซูลยังไร้ปฏิกริยาตอบสนอง
เอื้อมมือระโหยโรยแรงทาบบนพื้นผิวเนียนใสของกระจก
ลูบไล้เหนือบริเวณใบหน้าอ่อนเยาว์อย่างไม่อาจเอ่ยคำบรรยายใดๆให้กับความ
รู้สึกจุกที่ตื้อตีบตันในลำคอ เขาหายใจลำบากเหลือเกิน
“ขอโทษนะเสี่ยวเกอ”
...แต่เวลาของฉันหมดแล้ว...
ปี๊บบบบ.....!!
เสียงร้องลั่นจากหน้าจอวัดชีพจรสร้างความโกลาหลทั่วทั้งห้องสี่เหลี่ยมเล็ก
เงามากมายเคลื่อนไหววูบวาบ เสียงโหวกเหวกวุ่นวาย เสียงฝีเท้าหนักของผู้คน
ล้วนค่อยๆเงียบสงัดลง....
โลกทั้งใบของอู๋เสียดับสนิท
และแล้ว
...กึก...
จางฉี่หลิงก็ได้ลืมตาขึ้น
ในอีกสามปีหลังจากนั้น