5/5/58

[OS] ของดูต่างหน้า (ผิงเสีย)




[OS] ของดูต่างหน้า (ผิงเสีย)




By Fenrir






[สปอยล์เล่ม10]













เสี่ยวเกอจากไปแล้ว

ความ จริงตอกย้ำในสมองหลายร้อยหลายพันครั้งจนชาหนึบด้วยความว่างเปล่าจวบจน แบกร่างจากฉางไป๋ซานกลับมายังร้านที่หังโจว ท่ามกลางสายตาสับสนระคนเป็นห่วงของลูกจ้างหกร้อยหยวนที่ถูกทิ้งให้อยู่เฝ้า ร้านมานานร่วมอาทิตย์ อู๋เสียทิ้งสัมภาระลงบนพื้น เอนกายพิงบานประตูห้องที่ปิดสนิท ไม่หลงเหลือความรู้สึกอื่นใดนอกจากหมดเรี่ยวแรงกับความพยายามที่ไร้ผลเมื่อ อยู่ต่อหน้าคนๆหนึ่งที่ห่างออกไปไกลแสนไกล



...อีกสิบปีข้างหน้าหากนายยังจำได้...



“สิบปี? หากฉันยังจำได้? พูดออกมาได้!”

ตึง!

กำ ปั่นหลุ่นๆกระแทกเข้ากับพื้นไม้จนแผ่นกระดานสั่นสะท้าน ใบหน้าเครียดขึงด้วงแรงอารมณ์ไม่ยี่หระต่อความชาที่อาบตั้งแต่ข้อนิ้วทุกข้อ ไล่ขึ้นมาก่อนแปรเปลี่ยนเป็นความเจ็บปวดแสนสาหัสที่แล่นปราดสู่สมอง เหงื่อเม็ดโตผุดพรายบนหน้าผาก

“คิดจะไปก็ไป คิดจะมาก็มา นายแม่งเห็นฉันเป็นอะไรวะเสี่ยวเกอ!”

ตึง! ตึง! ตึง! ตึง!

ชายหนุ่มเกร็งหมัดเปื้อนเลือด ทุบจุดเดิมซ้ำๆราวกับบนกระดานแผ่นนั้นคือใบหน้าของคนใบ้จาง

“ใครมันจะไปลืมเรื่องแบบนี้ได้ลง! ฉันไม่ใช่นายที่เข้าไปในอุกกาบาตนั่นแล้วออกมาเอ๋อจำอะไรไม่ได้นะเฟ้ย!”

ตึง! ตึง! ตึง! ตึง!

“จูบ กับศพ โดนผีแม่ย่าเกาะ เส้นผมพัน วิ่งหนีด้วง ตีกับบ๊ะจ๊าง โดนงูกัด ยิงคนด้วยกันเอง แต่ละเรื่องนี่อยากลืมให้ตายมันก็ลืมไม่ได้!”

ตึง! ตึง! ตึง!

“ยิ่งเป็นเรื่องของนาย”

ตึง!

“...แค่คิดว่าอยากจะลืม ฉันยังไม่เคยเลย”

หยาด เหงื่อล้อมกรอบใบหน้าแดงก่ำด้วยความรู้สึกหลากหลายไหลผ่านแก้มจรดปลายคาง ร่วงหล่นหยดลงเจือจางร่องรอยสีแดงสดส่งกลิ่นคาวเคลือบโลหะอบอวลในอากาศ

“หากนายยังจำได้ หากนายยังจำได้...ฉันต่างหากควรเป็นคนพูดคำนั้น ฉันที่ถูกนายทิ้งไว้ข้างหลังต่างหากที่มีสิทธิ์พูด”

สายฝนหลงฤดูโปรยปรายจากดวงตา แด่ลักขจรผีที่วางอย่างเงียบงันข้างตัวยามฟื้นจากนิทรา กับสัญญาสิบปีที่แสนเลื่อนลอย

คาดเดาไม่ได้ จับไว้ไม่อยู่ เหมือนเมฆหมอก เหมือนภาพลวงตา เอื้อมมือไปก็คว้าได้เพียงเศษซากความผิดหวัง

“ถ้าสิบปีผ่านไป ถึงตอนนั้น...”



...สิ่งที่เชื่อมโยงฉันกับโลกใบนี้ไว้ เท่าที่เจอก็มีแต่นาย...



“นายจะยังจำด้ายบางๆที่เชื่อมนายไว้กับโลกใบนี้ได้อยู่หรือเปล่า”







-







เมื่อลืมตาตื่น ความคิดที่กระเจิดกระเจิงก็ดูจะเข้าร่องเข้ารอยมากขึ้นเล็กน้อย

นาย น้อยสกุลอู๋กระพริบตา คราบน้ำตาแห้งๆที่ติดอยู่ยากจะมองอะไรได้ชัด แต่เมื่อยกมือขึ้นมาจะขยี้ตาก็ต้องร้อง พอเพ่งดูดีๆก็ต้องสยองกับสภาพมือที่ถลอกปอกเปิกยับเยิน บวกกับเลือดและแผลเปิดที่เริ่มแห้งไปแล้วบางส่วน เมื่อขยับมือแผลที่มีเยื่อเกล็ดเลือดบางปากๆปกคลุมก็ปริออกทำให้เลือดไหลซึม อีกครั้ง ทั้งแสบทั้งฝืดเหมือนฟันเฟืองสนิมเกาะ แต่ความคิดที่จะเรียกให้ลูกน้องจอมอู้ตัวดีขึ้นมาช่วยทำแผลให้ก็เป็นอันปัด ทิ้งไปเพราะท้องฟ้านอกหน้าต่างได้กลายเป็นสีดำไปแล้ว ป่านนี้เจ้าตัวคงปิดร้านแล้วเที่ยวออกไปไหนต่อไหนตามใจเหมือนเคย

“ทำ ตัวเองแท้ๆ” พึมพัมด้วยเสียงที่พอจะหลงเหลือในลำคอที่แห้งผาก เดินผ่านกระจกแล้วรู้สึกอนาถกับสภาพตัวเองไม่น้อย ตั้งแต่กลับมาถึงบ้านก็ยังไม่ได้อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า ชุดที่ใส่อยู่ก็ไม่พ้นชุดเดิมกับที่ขึ้นเขาลงเขาจากฉางไป๋ซานนั่น กลิ่นเหงื่อบวกกับกลิ่นเลือดอ่อนๆทำให้รู้สึกคลื่นเหียนวิงเวียนแปลกๆ

ทำแผลแล้วผ่านน้ำสักหน่อยท่าจะดี...

สอง ขาพาอู๋เสียมาอยู่ตรงหน้าลิ้นชักข้างเตียง เปิดชั้นบนสุดแล้วคุ้ยๆหากล่องปฐมพยาบาล คิ้วเริ่มขมวดเป็นปมเมื่อเปิดลิ้นชักทุกชั้นแล้วก็ยังไม่พบสิ่งที่ต้องการ

ครั้ง สุดท้ายที่ใช้นี่เขาเอาไปเก็บไว้ไหนกัน? ชายหนุ่มเดินรอบห้อง สอดส่ายสายตาพลางยื่นมือซ้ายที่ใช้การได้ปกติเปิดลิ้นชักและฝาตู้ในห้องตัว เองไปทั่วจนมาถึงตู้เสื้อผ้า

เขาชะงักเมื่อพบสิ่งๆหนึ่งวางอยู่ด้านในสุดของลิ้นชักชั้นล่าง มือซ้ายสั่นระริกขณะเอื้อมไปคว้ามันขึ้นมาในระดับสายตา

วินาที นั้นในวันเดียวกันนั่นเอง ท่ามกลางความเงียบงันยามค่ำคืนในห้องเล็กๆกลางหังโจว อู๋เสียร้องไห้เป็นครั้งที่สอง จนไม่เหลืออะไรในดวงตาอีก







-







ลม หนาวพัดผ่าน ใบไม้เปลี่ยนสีลู่ไหว มองผ่านหน้าต่างชั้นสองออกไปเห็นทะเลสาบซีหู ดวงอาทิตย์คล้อยต่ำขนานกับทิวเขาทอแสงสุดท้าย เคลือบผืนน้ำให้เป็นสีสว่างอร่ามดังทองคำเปลว

ทิวทัศน์อันงดงาม ไร้ความวุ่นวายใดๆ ทว่าบรรยากาศการดื่มชาชมวิวกลับชวนอึดอัดกระอักกระอวนอย่างประหลาด

“อู๋เสีย ฉันว่านายเลิกทำแบบนี้ดีกว่า”

ถ้วย ชาลายครามสีอ่อนถูกวางลงบนโต๊ะกลมหินอ่อน ผู้ถูกพาดพิงเบือนหน้าจากธรรมชาติภายนอกมาสบตากับคนสองคนที่นั่งร่วมโต๊ะ หนึ่งคือเพื่อนสมัยเด็กที่ให้ความช่วยเหลือมามากมายทั้งที่ปากบอกปฏิเสธ และอีกหนึ่งคือสหายที่ร่วมเป็นร่วมตายกันหลายครั้งหลายหนตั้งแต่ลงสุสาน ครั้งแรก

เป็นเวลาเนิ่นนานมาแล้วที่เทียนเจินอู๋เสียคนนั้นเผชิญกับ อันตรายด้วยความไร้เดียงสาและไล่ตามหาความจริงอย่างดื้อรั้นไร้จุดจบ สุดท้ายความโง่งมนั้นก็เปลี่ยนชีวิตเขา ฆ่าแววตาที่ไร้เดียงสานั้นทิ้งแล้วกลับกลายเป็นแววตาอ่านยากมากเล่ห์เหลี่ยม ของเถ้าแก่อู๋ผู้ทรงอิทธิพลมาแทนที่

“เรื่องนี้ฉันเห็นด้วยกับคุณชาย นะ ต่อให้นายจะเจ็บปวดขนาดไหนก็ไม่ต้องทำถึงขนาดนี้ก็ได้” คนร่างท้วมอุดมสมบูรณ์เกาหัวด้วยสีหน้าท่าทางลำบากใจไม่น้อย “เสี่ยว่ามันออกจะมากเกินไปหน่อยนา”

ดวงตาที่ครั้งหนึ่งเคยใสกระจ่างเหมือนผิวน้ำมองผ่านไหล่ของเซี่ยอวี้ฮัวไป

“นายไม่ใช่ฉัน นายไม่เข้าใจหรอก...”

ร่องรอยกากบาทสีแดงเข้มเกลื่อนบนปฏิทินแขวนเคียงข้างกรอบรูปบนหิ้งติดผนังอีกฝากหนึ่งของห้อง

“นี่เป็นของแทนตัวชิ้นเดียวที่มีในบ้านหลังนี้ ใครจะรู้ ถ้าฉันไม่ทำแบบนี้ บางทีคนที่เสียสติไปตั้งแต่ตอนนั้นอาจจะเป็นฉันก็ได้”

ตา จ้องตากันเหมือนทำสงครามอยู่นานร่วมนาที ในที่สุดคุณชายเซี่ยก็ถอนหายใจ ชักสีหน้าเหมือนเหนื่อยหน่ายกับการต้องพูดเรื่องเดิมซ้ำแล้วซ้ำเล่า “เอาทีนายสบายใจเถอะอู๋เสีย ฉันจะไม่ยุ่งกับเรื่องนี้อีก”

ตัวนาง ชื่อลือลั่นในวงการอุปรากรลุกขึ้น บอดี้การ์ดสองคนที่ยืนเฝ้าหน้าประตูอยู่ห่างๆเพื่อความเป็นส่วนตัวของผู้ เป็นนายขยับเข้ามาใกล้อย่างรู้งาน “ไว้ฉันจะมาหานายใหม่แล้วเราค่อยคุยกันว่าจะเอายังไงต่อ เฉพาะเรื่องไปฉางไป๋ซานน่ะนะ”

ทิ้งท้ายให้คนที่นั่งอยู่หรี่ตาลง พยักหน้าให้ ก่อนละสายตากลับมายังจุดๆเดิมก่อนหน้าที่มองผ่านเสี่ยวฮัวไป เขายังจำได้ถึงสายตาที่หนึ่งในลูกน้องของเสี่ยวฮัวใช้มองเขาสลับกับสิ่งที่ อยู่ในกรอบตรงนั้นเมื่อเดือนหลายเดือนก่อนได้ วันนี้แววตานั้นก็ยังหลงเหลืออยู่บ้างแม้จะผิวเผิน

...จะคิดอะไรก็คิดไป เก่งกล้ามาจากไหนก็ไม่มีทางห้ามความคิดคนได้อยู่แล้ว มุ่งมั่นไปที่เป้าหมายต่างหากคือสิ่งสำคัญที่สุด...

สายลมอ่อนจากภายนอกพัดสะบัดขอบกระดาษโบกเป็นจังหวะราวตุ่มนาฬิกาโบราณขยับบอกเวลา

“เทียนเจินหนอเทียนเจิน นายนี่มันบ้า” เพื่อนหนึ่งเดียวที่เหลือร่วมโต๊ะมองตามแล้วโคลงหัว “บ้ามหาเทพแท้ๆ”







-







“ออกเดินทางได้ ฤดูร้อนนี้ พวกเราไปที่ที่เย็นสบายกว่าที่นี่กัน”

สิ้นเสียงที่เอ่ยผ่านวิทยุสื่อสารและเสียงแตรรถกระหึ่มดังกลองรบลั่นยามออกศึก ขบวนรถเริ่มเคลื่อนตัวไปข้างหน้าตามบัญชา

ดวง ตะวันแผดแสงเจิดจ้ากลางฟ้าไร้เมฆ กลางหุบเขาร้างไร้ชุมชนและผู้คน อุณหภูมิที่เริ่มสูงขึ้นทำให้คนอ่อนเพลียได้ง่าย เถ้าแก่สามแห่งบ้านสกุลอู๋นั่งอยู่เบาะหลังในรถจิ๊ป มองรอบตัวพลางคิดหลายสิ่งอย่างไปเรื่อยกระทั่งเปลือกตาเริ่มหนักอึ้ง

สุด ท้ายทนอยู่ได้อีกไม่กี่ชั่วโมงให้หลังก็ฟุบหลับไปด้วยความเหนื่อยล้าสะสมที่ ต้องกำกับงานเองอย่างเข้มงวดติดต่อกันภายในไม่กี่อาทิตย์ที่ผ่านมา...

ครั้น ค่ำ อู๋เสียขยับตัว สิ่งแรกที่รู้สึกผ่านประสาทการรับรู้ทั้งห้าภายหลังได้สติเล็กน้อยคือความ สั่นสะเทือนที่หายไป คาดว่านี่คงเป็นเวลาที่ขบวนรถแวะพักกลางทางตามที่วางแผนกันไว้ เปลวไฟวูบไหวหลายจุดที่พอมองเห็นได้กระจัดกระจายตามจุดต่างๆ คละกับเสียงพูดคุยที่พอเล็ดลอดมาให้ได้ยินไม่บ่งบอกถึงปัญหาขัดข้องใดๆซึ่ง นับว่าเป็นเรื่องดี ถ้าไม่ใช่เพราะว่ามีเสียงบางอย่างที่ลอยเข้าหูมาด้วย

“.............แบบ........เอาจริง...”

เถ้าแก่สามขมวดคิ้วเข้าหากัน รู้สึกคุ้นเคยกับเสียงกระซิบกระซาบนี่อย่างประหลาด

เขา แยกแยะเสียงพูดคุยปกติจากที่ไกลๆกับเสียงที่จงใจพูดเบาเป็นพิเศษเวลาพูด เรื่องอะไรก็ตามที่เป็นความลับได้ การมีความลับหรือมีอะไรที่เกิดขึ้นลับหลังเถ้าแก่อู๋ไม่ใช่เรื่องที่ควร ละเลยนักเพราะแผนที่วางมาอาจเสียหายได้ไม่มากก็น้อย ผู้บัญชาการขบวนเดินทางจึงขยับตัวเข้าไปใกล้หน้าต่างรถแล้วเงี่ยหูฟังให้ชัด ต้นตอของเสียงมาจากแถวด้านหลังรถจิ๊ปนี่เอง

“เทียนเจินแม่งพกมาด้วย เชื่อเลย”

มีคนๆเดียวเท่านั้นที่เรียกเขาว่าเทียนเจินอู๋เสีย

นายอ้วน?

“ตกลงตามนี้นะคุณชาย”

ต่อจากนั้นก็ไม่มีบทสนทนาอะไรเพิ่มเติมอีก มีแต่เสียงฝีเท้าย่ำลงบนยอดหญ้าและดินทรายห่างออกไปเรื่อยๆ

หมอนั่นคุยอะไรกับเสี่ยวฮัว? เขาได้แต่หวังว่าจะไม่มีเรื่องยุ่งๆเกิดขึ้นอย่างน้อยก่อนการผจญภัยเสี่ยงชีวิตที่แท้จริงจะเริ่มต้นขึ้น

สิบปีแล้ว…

อู๋ เสียถอนหายใจยาว ล้วงบุหรี่ออกมาจากกระเป๋าเสื้อแล้วจุดไฟ ควันอ่อนๆส่งกลิ่นตลบอันเป็นเอกลักษณ์เกาะแน่นตามเนื้อตัวและเสื้อผ้าของผู้ สูบราวกับเงาตามตัว

ได้เวลาที่นายจะต้อง ‘กลับบ้าน’ เสียที...

เอน กายลงพิงกระเป๋าใบหนึ่งที่เดิมวางคั้นไว้ตรงกลางเบาะระหว่างตัวเองกับสหาย ร่างอ้วน ริมฝีปากยักยิ้มเบาบาง นอกจากบุหรี่แล้วก็มีสิ่งๆนี้นี่แหละที่ช่วยให้ใจของเขาสงบนิ่ง เสมือนทุกอย่างที่เกิดขึ้นเป็นเพียงฝันร้ายชั่วข้ามคืน

ปากคาบบุหรี่ไว้ขณะที่สองมือรูดซิปจนสุด แง้มกระเป๋าออกกว้าง มีลักขจรผีไว้ใช้เปิดประตูอยู่ในนั้น รวมถึง-

อู๋เสียนิ่งงัน ดวงตาเบิกกว้าง

สองมือล้วงปัดป่ายภายในกระเป๋า คว้าได้เพียงความว่างเปล่า

แล้ว เสียงผสุรวาทราวฟ้าผ่าของเถ้าแก่สามแห่งบ้านสกุลอู๋ก็ลั่นไปทั่วทั้งหุบเขา เชือดเฉือนทุกสรรพเสียงของผู้ร่วมขบวนให้พร้อมใจกันเงียบกริบเฉียบพลัน






“นายอ้วน กางเกงในลูกเจี๊ยบของเสี่ยวเกอแม่งหายไปไหนวะ!”














---------------------------------------


Talk


เราไม่รู้ เราเมา--- //โดนปาข้าวของใส่

ช่วง นี้ท่องทวิตเท่าไหร่ก็ยังกาวไม่ค่อยออกเลยต้องมาผสมกาวเอง ความจริงจะตัดจบให้มันสมบูรณ์ตั้งแต่ตอนนายน้อยพร่ำพรรณาตอนต้นแล้วนะ แต่ด้วยความทีไอเดียแรกกับใจความสำคัญที่อยากใส่มากๆชนิดว่า 'กุเอามันออกจากหัวไม่ได้ ช่วยด้วยยย!!!' มันอยู่ที่ประโยคสุดท้ายของเรื่องก็เลยเขียนต่อแบบAwkwardหน่อยๆ 'w'

เชิญคอมเม้-------แง!!! อย่าปาขวดใส่เรา!!!! //หลบวืด

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น